วัดใหญ่ชัยมงคล เดิมชื่อ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดเจ้าไท" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะพระนคร ปัจจุบันเป็นพื้นที่ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จุดเด่นของวัดได้แก่เจดีย์องค์ใหญ่ที่เชื่อกันว่า ได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

Wat Yai Chaimongkol, formerly known as Wat Pak Kaeo or Wat Jao Tai, is located in the southeast of Phra Nakhon Island, now part of Klong Suan Phlu Subdistrict, Phra Nakhon Si Ayutthaya District, in Phra Nakhon Si Ayutthaya Province. The temple's highlight is the large chedi, which is believed to have been renovated during the reign of King Naresuan the Great.

Wat Yai Chaimongkol, Ayutthaya

วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา

大ชัย蒙寺，原名“法中寺”或“王寺”，位于大城府（พระนครศรีอยุธยา）东南方的一个小岛上，如今归属于คลองสวนพลู区。这个寺庙的特色是其宏伟的大塔，据信是在纳雷华大帝时代重新修缮的。

Wat Yai Chaimongkol, 大城府

"หลวงพ่อโต" วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา หรือ "หลวงพ่อซําปอกง" ประดิษฐานในพระวิหารวัดพนัญเชิง ริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก พระโบราณคู่บ้านคู่เมืองกรุงศรีอยุธยามาแต่แรกสร้างกรุง

วัดพนัญเชิงวรวิหาร ตั้งอยู่ที่หมู่ 2 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร แบบมหานิกาย มีจุดเด่นสำคัญ คือ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อซำปอกง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธยา

"Luang Por To," located at Wat Phanan Choeng in Phra Nakhon Si Ayutthaya Province, also known as "Luang Por Sam Pah Kong," is enshrined in the temple's hall by the banks of the Pa Sak River. This ancient Buddha statue has been a cultural icon for the city of Ayutthaya since its foundation.

Wat Phanan Choeng Worawihan is situated in Moo 2, Khlong Suan Phlu Subdistrict, Phra Nakhon Si Ayutthaya District, in Ayutthaya Province. It is a second-class royal monastery in the Mahayana sect. One of its most significant highlights is the Phra Buddha Trairatana Nayok, or Luang Por Sam Pah Kong, which is the largest Buddha statue in Phra Nakhon Si Ayutthaya.

Wat Phanan Choeng Worawihan

วัดพนัญเชิงวรวิหาร

“Luang Por To” at Wat Phanan Choeng, located in Phra Nakhon Si Ayutthaya Province, also known as “Luang Por Sam Pak Kong,” is enshrined in the temple's vihara by the banks of the Pa Sak River. This ancient Buddha statue has been a symbol of the city since the foundation of Ayutthaya.

Wat Phanan Choeng Worawihan is situated in Moo 2, Khlong Suan Phlu Subdistrict, Phra Nakhon Si Ayutthaya District, Phra Nakhon Si Ayutthaya Province. It is a second-class royal temple of the Mahanikaya order. The temple's most notable feature is the Phra Buddha Trairatana Nayok, or Luang Por Sam Pak Kong, which is the largest Buddha statue in Phra Nakhon Si Ayutthaya.

Wat Phanan Choeng Worawihan寺

วัดมเหยงคณ์ เดิมเป็นพระอารามหลวงฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่เคยสำคัญยิ่งมาในอดีตสมัยอยุธยา โดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒(เจ้าสามพระยา)ทรงสร้างขึ้น
และได้รับการปฏิสังขรณ์หลายครั้งในหลายสมัย แต่ได้กลายเป็นวัดร้าง เข้าใจว่านับตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ รวมเวลาร่วงเลยมา
๒๐๐ กว่าปี ปัจจุบันเป็นวัดร้างที่สภาพโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ยังเหลืออยู่ได้ปรักหักพังไปมาก แต่ก็พอมีเค้าเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงศิลปะการก่อสร้างอันประณีตงดงามมโหฬารและระดับความสำคัญของพระอารามแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

Wat Mahathat, originally a royal monastery of the meditation tradition, held great significance during the Ayutthaya period. It was constructed by King Borommarachathirat II (also known as King Sam Prasart) and underwent several renovations throughout various eras. However, it eventually fell into disrepair and is considered a ruined temple. This decline began after the second sacking of Ayutthaya in 1767, which marked the end of its prominence.

Now, over 200 years later, the temple remains a captivating historical site despite the extensive decay of its ancient structures and artifacts. Yet, the remnants still provide compelling evidence of the exquisite and grand architectural artistry that once characterized this significant monastery.

Wat Maheyong

วัดมเหยงคณ์

วัดมเหยงคณ์曾是阿瑜陀耶时期由三佛泰王（สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒）所建立的重要冥想寺庙，曾在历史上具有重要地位。它经历了多次的修缮，在几代王朝中仍旧屹立不倒。然而，自从阿瑜陀耶第二次被攻陷（公元2310年）后，这座寺庙逐渐变成了一座废弃的寺庙，至今已有200多年的时光。如今，这里已经成为了一处荒废的古迹，虽然残垣断壁，但仍能找到一些古老的遗迹和文物，这些都清晰地展示出昔日这座宏伟寺庙建筑艺术的精美与重要性。

Wat Maheyong寺

บริเวณหน้าวัดพระรามคือ บึงพระราม ปัจจุบันซากปรักหักพังภายในวัดเหลือเพียงแต่ เสาในพระอุโบสถ วิหาร 7 หลัง กำแพงด้านหนึ่ง และที่สำคัญคือพระปรางค์ ซึ่งเป็นพระปรางค์ทรงขอมโบราณขนาดใหญ่ ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังทั้งสองด้าน เป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งปางมารวิชัยบนบัลลังก์ สีที่ใช้เป็นสีแดง คราม เหลืองและดำ เป็นภาพจิตรกรรมยุคอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันลบเลือนไปมาก

In front of Wat Phra Ram lies Phra Ram Swamp. Today, the ruins within the temple consist mostly of the pillars in the main ordination hall, seven annexes, one wall, and, most importantly, the stupa, which is a large ancient Khmer-style structure. Inside, there are wall paintings on both sides depicting the Buddha seated in the Mara Victory posture on a throne. The colors used are red, indigo, yellow, and black, representing early Ayutthaya period artwork. Unfortunately, much of the original detail has faded over time.

Rama Temple

วัดพระราม

在拉玛寺前面是拉玛池。如今，寺内的废墟只剩下佛殿中的柱子、七座庙宇、一面墙，以及最重要的——佛塔。这是一座大型的古老高棉风格佛塔，内部两面墙上绘有壁画，描绘的是坐着的释迦牟尼佛在胜利姿势下的形象，其使用的颜色为红色、青色、黄色与黑色，这些壁画代表了早期阿瑜陀耶时期的艺术风格，但如今已经渐渐褪色。

拉玛寺

วัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในวัดในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา วัดมหาธาตุเป็นวัดที่มีความสำคัญยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร และเป็นที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสีอีกด้วย

Wat Mahathat, located in Phra Nakhon Si Ayutthaya Province, is one of the temples situated within the Historic City of Ayutthaya. This temple holds great significance during the Ayutthaya Kingdom as it enshrined the relics of the Buddha at the heart of the ancient city. Additionally, it served as the residence for the Supreme Patriarch of the Kamavasi sect, highlighting its importance in both religious and historical contexts.

Wat Mahathat Ayutthaya

วัดมหาธาตุ อยุธยา

大寺庙位于阿瑜陀耶省，是阿瑜陀耶历史公园内的一座重要寺庙。大寺庙在阿瑜陀耶王朝时期具有重要意义，因为它是位于城市中心的一座佛骨舍利寺，也是高僧的居所。

大城府玛哈泰寺

วัดกษัตราธิราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา นอกเกาะเมืองทางด้านทิศตะวันตก ตรงข้ามกับวังหลังหรือวังสวนหลวง เดิมชื่อ "วัดกษัตรา" หรือ "วัดกษัตราราม" วัดกษัตราธิราชวรวิหาร เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีพระปรางค์เป็นประธานของวัด ในสมัยรัชกาลที่ 1 เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ กรมพระราชวัง และกรมขุนอิศรานุรักษ์ (เกศ) ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม

Wat Kasatrathiraj Warawihan is a third-class royal monastery categorized as a Wora vihara, located by the Chao Phraya River in Phra Nakhon Si Ayutthaya District, just outside the western side of the old city, across from Wang Lang or Suan Luang Palace. Originally known as "Wat Kasatra" or "Wat Kasatram," this ancient temple was built during the time when Ayutthaya was the capital. The main feature of the temple is its prang (spire). During the reign of King Rama I, Prince Anurak Teves do and Prince Isranurak (Khet) undertook a restoration of the entire temple complex.

Wat Kasattrathirat Woraviharn

วัดกษัตราธิราชวรวิหาร

佛教寺庙，凯萨瑞塔寺（Wat Kasattharathiwara Wihan），是一座位于泰国阿育他亚省的历史悠久的皇家寺庙，坐落在昭披耶河的西岸，正对着后宫或素兰王宫。原名为“凯萨寺”或“凯萨拉寺”，这座寺庙建于阿育他亚王朝时期，寺内以主塔为中心。第一代国王时期，王子安努拉克·塔维斯（Prince Anurak Thaveechai）重建了这座寺庙，使其焕然一新。

Wat Kasattrathirat Woraviharn寺

วัดธรรมิกราช เดิมชื่อ วัดมุขราช เป็นอดีตพระอารามหลวงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ใน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดกับพระราชวังโบราณ และวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดธรรมิกราช สร้างขึ้นโดย พระยาธรรมิกราชโอรสของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง จึงสันนิษฐานว่าคงสร้างขึ้นก่อนที่จะสถาปนากรุงศรีอยุธยา ซึ่งเดิมชื่อวัดมุขราช ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตามผู้สร้างเป็นวัดธรรมิกราช

Wat Thammikarat, originally known as Wat Mukraj, was a royal temple during the Ayutthaya period. It is located in the Phra Nakhon Si Ayutthaya District of Phra Nakhon Si Ayutthaya Province, adjacent to the ancient palace and Wat Phra Si Sanphet. Wat Thammikarat was built by Phaya Thammikarat, the son of King Sai Nam Phueng, leading to the assumption that it was established before the founding of Ayutthaya. Initially named Wat Mukraj, it was later renamed in honor of its creator, becoming Wat Thammikarat.

Thammikarat Temple

วัดธรรมิกราช

德米克拉寺，原名穆克拉寺，是昔日的皇家寺庙，位于泰国阿育他亚王朝时期，坐落在阿育他亚省的阿育他亚市，毗邻古代皇宫和普拉寺。德米克拉寺由摩克水王的儿子德米克拉大臣所建，因此可以推测这座寺庙是在阿育他亚成立之前建造的。起初名为穆克拉寺，后来根据建造者的名字更改为德米克拉寺。

Thammikarat 寺

เป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกพม่าเผาทำลาย ยังคงความสวยงดงาม มาจนถึงทุกวันนี้ อยากจะชวนทุกคนไปไหว้พระพุทธนิมิตอันศักดิ์สิทธิ์ ขอพรให้สมหวังดังใจ เป็นอีกหนึ่งวัดดังในอยุธยาที่ดาราหลายคนมักจะมาทำบุญไหว้พระเช็คอินกันที่นี่

วัดหน้าพระเมรุ หรือ วัดหน้าพระเมรุราชิการามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ริมคลองสระบัวด้านเหนือของคูเมือง ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง มีชื่อเดิมว่า "วัดพระเมรุราชการาม" แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างในสมัยใด

This is the only temple that was not burned down by the Burmese and still retains its stunning beauty to this day. I would like to invite everyone to pay homage to the sacred Phutthanimit Buddha statue and to make wishes for fulfillment. This temple is another famous site in Ayutthaya where many celebrities often come to make merit and check in.

Wat Na Phra Meru, or Wat Na Phra Meru Ratchikaram Worawihan, is located in Phra Nakhon Si Ayutthaya District, Phra Nakhon Si Ayutthaya Province, along the northern side of Klong Sra Bua, opposite the Grand Palace. Its original name was "Wat Phra Meru Ratchikaram," but there is no evidence of who constructed it or during what period.

Wat Na Phra Men

วัดหน้าพระเมรุ

这是唯一一座没有被缅甸焚毁的寺庙，至今仍保留着其美丽的风貌。我想邀请大家来参拜神圣的佛陀尼密，为自己祈愿，希望能如愿以偿。这是阿育他雅的一座著名寺庙，许多明星常常来这里做功德、参拜、打卡。

面朝皇殿寺，或称面朝皇殿皇家寺庙，位于泰国阿育他雅的帕那空士区，坐落在城市护城河北侧的沙湾地区，恰好对面是皇家城堡。它原名“皇家殿寺”，但并没有确凿的证据表明是谁建造的以及建于什么时期。

ภายในพระมหาธาตุเจดียมงคลสิทธาจารย์ เป็นที่กราบสรีระสังขารของ หลวงพ่อรวย ที่บรรจุอยู่ในโลงแก้ว ไม่เน่าไม่เปื่อย ประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม หลวงพ่อรวยเป็นพระเกจิที่เปี่ยมเมตตาธรรมสูง มีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เชี่ยวชาญสรรพเวทวิยาคม วัตถุมงคลเข้มขลังเปี่ยมพลังพุทธคุณมากประสบการณ์ แคล้วคลาดนิรันตรายและเมตตามหานิยม

Inside the Phra Mahathat Jediyamangkolsiddhajar, there lies the sacred body of Luang Por Ruay, encased in a glass casket that remains intact and unspoiled. It is beautifully adorned, showcasing the reverence bestowed upon him. Luang Por Ruay was a highly esteemed monk known for his deep compassion and simple lifestyle. Masterful in various sacred sciences, his powerful amulets are filled with profound Buddhist blessings, offering protection from harm and attracting goodwill and kindness.

Tako Temple, Reverend Father Ruay

วัดตะโก หลวงพ่อรวย

在大佛塔的庙宇内，尊敬的老和尚的遗体安放在玻璃棺材中，保持着完好如初，没有腐烂，并且装饰得非常美丽。老和尚是一位慈悲心肠的高僧，生活简朴，精通各种咒语和法术。他所创作的护身符充满力量，蕴含着丰富的佛法经验，可以带来安然无恙和广受欢迎的庇佑。

Tako Temple，Ruay 神父

ไหว้พระ 9 วัด

วัดอุโมงค์ เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวเชียงใหม่ที่ไม่ควรพลาด ภายในดูลึกลับน่าค้นหา และมีสวยงามในแบบที่ดูแปลกตา วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ และตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรืออยู่ในซอยหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Wat Umong is another must-visit attraction in Chiang Mai. Its interior offers a mysterious atmosphere that invites exploration, combined with a unique beauty that is visually striking. Wat Umong, also known as Buddha Forest, is located to the west of the city, at the foothills of Doi Suthep, in Mueang District, Chiang Mai Province. It is situated south of Chiang Mai University, tucked away in a lane behind the university.

Wat Umong Suan Phuttham

วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม

乌蒙寺是清迈不容错过的另一个旅游胜地。寺内环境神秘且引人探寻，展现出一种独特的美感。乌蒙寺（即佛教公园）位于清迈市的西部，坐落于素贴山的山脚下，位于清迈大学南部，或者说在清迈大学后面的巷子里。

Wat Umong Suan Phuttham寺

เจดีย์เจ็ดยอด ลักษณะคล้ายกับมหาวิหารโพธิที่พุทธคยาในประเทศอินเดีย ที่ฐานเจดีย์ประดับปูนปั้นรูปเทวดา ด้านนอกพระเจดีย์ก็เช่นกันประดับงานปูนปั้นรูปเทวดาทั้งนั่งขัดสมาธิและยืนทรงเครื่องที่มีลวดลายต่างกันไปดูงามน่าชม ความโดดเด่นของวัดเจ็ดยอดที่มาพร้อมกับอายุอันเก่าแก่ของวัดคือลักษณะคล้ายกับมหาวิหารโพธิที่พุทธคยา ในประเทศอินเดีย ซึ่งฐานเจดีย์นั้นมีการประดับปูนปั้นรูปเทวดา ส่วนด้านนอกพระเจดีย์นั้น ประดับงานปูนปั้นรูปเทวดาทั้งนั่งขัดสมาธิและยืนทรงเครื่องที่มีลวดลายต่างกันไปดูงามน่าชม

The Jediy Jed Yod pagoda resembles the Mahabodhi Temple in Bodh Gaya, India. The base of the stupa is adorned with plaster sculptures of celestial beings, while the exterior of the pagoda features beautifully crafted statues of angels, both in a meditative seated position and standing in ornate attire, displaying various intricate designs that are truly captivating. The distinct charm of Wat Jed Yod, combined with its ancient history, is highlighted by its similarity to the Mahabodhi Temple in Bodh Gaya, India, making it a fascinating sight to behold.

Wat Chet Yod

วัดเจ็ดยอด

七重塔的外观与位于印度菩提迦耶的菩提寺相似。塔基饰有天使的浮雕，而塔身外也同样装饰着各种风格的天使浮雕，包括坐姿合十和立姿装饰，样式各异，令人赏心悦目。七重塔的独特之处在于它那悠久的历史，与印度的菩提寺形态相呼应，令人在观赏时感受到浓厚的文化底蕴。

Wat Chet Yot 寺

วัดพระธาตุดอยคำสร้างในสมัยพระนางจามเทวีกษัตริย์แห่งหริภุญชัย โดยพระโอรสทั้ง 2 เป็นผู้สร้างในปี พ.ศ. 1230 ประกอบด้วยเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ศาลาการเปรียญกุฏิสงฆ์ และพระพุทธรูปปูนปั้น เดิมชื่อวัดสุวรรณบรรพต แต่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดดอยคำ"
พ.ศ. 2509 ขณะนั้นวัดดอยคำเป็นวัดร้าง ต่อมากรุแตกชาวบ้านพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เช่น พระรอดหลวง พระหินทรายปิดทององค์ใหญ่ พระสามหมอ (เนื้อดิน) ซึ่งนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดพระธาตุดอยคำ พระธาตุดอยคำนอกจากจะเป็นที่สักการบูชาของคนท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของการบินไทยที่ใช้กำหนดพื้นที่ทางสายตา ก่อนที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่
ตำนาน
เทือกเขาถนนธงชัย ด้านทิศตะวันตกบนเทือกเขาเหล่านั้นจะเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระเจดีย์สำคัญและเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ถึง 2 องค์พระเจดีย์ แต่ละแห่งถูกสถาปนาขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ในสมัยหริภุญชัยและล้านนาตามลำดับ หนึ่งในนั้นคือพระธาตุดอยคำ อยู่บนยอดเขาเล็ก ๆ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 200 เมตร อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองเชียงใหม่ เรียกว่า “พระธาตุดอยคำ” เคยเป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์สองผัวเมีย ชื่อ จิคำและตาเขียวมาก่อน ซึ่งต่อมาชาวบ้านได้เรียกยักษ์ทั้งสองนี้ว่า “ปู่แสะ – ย่าแสะ” ปู่แสะย่าแสะมีลูก 1 คน ชื่อว่า “สุเทวฤๅษี” เหตุที่ได้ชื่อว่าดอยคำ เนื่องจากศุภนิมิตที่ยักษ์ทั้งสองได้รับพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า เกิดฝนตกหนักหลายวัน ทำให้น้ำฝนเซาะและพัดพาแร่ทองคำบนไหล่เขา และลำห้วยไหลลงสู่ปากถ้ำเป็นจำนวนมาก จึงเรียกภูเขาลูกนี้ว่า “ดอยคำ”
จากตำนานหลายฉบับได้กล่าวว่า เทวดาได้นำพระเกศาธาตุที่พระพุทธเจ้าได้ประทานแก่ปู่แสะและย่าแสะ นำขึ้นมาฝังและก่อสถูปไว้บนดอยแห่งนี้ และต่อมาในปี พ.ศ. 1230 เจ้ามหันตยศ และเจ้าอนันตยศ 2 พระโอรสแฝดของพระนางจามเทวี แห่งหริภุญชัยนครได้ขึ้นมาก่อเจดีย์ครอบพระสถูปเกศานั้นไว้ ส่วนพระเจดีย์แห่งที่ 2 ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ทางทิศเหนือของดอยคำ คือ พระธาตุดอยสุเทพ

Wat Phra That Doi Kham was built during the reign of Queen Chama Devi, the monarch of Haripunjaya, by her two sons in the year 1230 B.E. It consists of a stupa housing the relics of the Buddha, a sermon hall, monk’s quarters, and stucco Buddha images. Originally named Wat Suwannabunpot, the locals commonly refer to it as "Wat Doi Kham."

In 1966, at the time Wat Doi Kham had fallen into disrepair. However, following a landslide, villagers discovered several ancient artifacts, including a large gilded sandstone Buddha, Phra Rod Luang, and Phra Samor (clay statuette), which were later enshrined at Wat Phra That Doi Kham. Besides being a place of worship for locals, Doi Kham also serves as a significant visual landmark for Thai Airways pilots when approaching for landing at Chiang Mai Airport.

**Legend**

The Doi Thong Chai mountain range, located to the west, is home to two important and ancient stupas that are emblematic of Chiang Mai. Each stupa was constructed by a monarch during the Haripunjaya and Lanna periods. One of these is Phra That Doi Kham, situated on a small hill approximately 200 meters above sea level, in the southwest of Chiang Mai city. 

Previously, this site was said to be inhabited by a giant couple named Jikham and Ta Khiao, who are later referred to by villagers as "Poo Sa" and "Yaa Sa." Poo Sa and Yaa Sa had one child, named “Suthewaris,” and the name Doi Kham originated from a prophetic vision they received when they were bestowed a strand of the Buddha’s hair. Following a significant rainstorm that lasted several days, heavy rainfall washed down gold ore from the hillside, leading to the naming of this mountain as “Doi Kham.”

According to various legends, deities brought the Buddha’s hair relics given to Poo Sa and Yaa Sa to be buried and enshrined at this mountain. Later, in 1230 B.E., Prince Mahantayos and Prince Anantayos, the twin sons of Queen Chama Devi from the city of Haripunjaya, ascended the mountain to construct a stupa to enshrine the sacred relics. The second stupa is located atop a higher mountain to the north of Doi Kham, known as Phra That Doi Suthep.

Wat Phra That Doi Kham

วัดพระธาตุดอยคำ

佛教寺院的传说

位于清迈市附近的多伊噶寺，是由哈里普贾伊王国的女王詹塔维于公元1230年建造的，寺庙的设计由她的两个儿子负责。这里供奉着佛陀的舍利子，此外还有僧舍和泥塑佛像。最初名为苏万巴普寺，但当地人更习惯称之为“多伊噶寺”。

在1966年，多伊噶寺陷入废弃状态。后来村民们在附近发现了多件文物，包括金色石雕、泥土佛像等，因此这些遗物被安放在多伊噶寺内。作为当地人朝圣的圣地，多伊噶寺也成为泰航飞行员的重要视觉标志，在飞机降落清迈机场之前用于确定降落区域。

传说

在清迈的西方道路旁，有一片山脉，这里是两座重要而古老的佛塔的安置之地，分别由哈里普贾伊王国和兰纳王国的君主所建。多伊噶寺坐落于其中一座小山顶，海拔约200米，位于清迈市的西南方向。相传该地曾经是名为吉卡姆和塔基约的二位巨人的栖息地，而后当地人称这二位巨人为“古祖—雅祖”。他们有一个名为“苏特瓦西”的孩子。该地被称为“多伊噶寺”，是因为这对巨人曾从佛陀那里获得佛发，经历了几天的暴雨，山上的黄金矿石被冲刷到洞穴口，因此这个山被称为“多伊噶”。

许多传说提到，天神将佛陀赐予古祖和雅祖的佛发埋藏在这个山上的佛塔内。后来在公元1230年，哈里普贾伊王国的王子曼泰和阿南泰上山建造了这个佛塔以供奉佛发。而另一座佛塔，即多伊苏泰佛塔，则位于多伊噶寺的北侧高峰之上。

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร. เดินทางตามถนนห้วยแก้ว ผ่านอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ไปตามทางคดเคี้ยวขึ้นเขา ระหว่างทางจะมองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่อยู่เบื้องล่าง เป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ ก่อสร้างตามแบบศิลปะล้านนา และมีเจดีย์ทรงเชียงแสน

Wat Phra That Doi Suthep Rajavaravihara is a sacred temple located in Chiang Mai. The journey begins along Huay Kaew Road, passing the monument of Kruba Srivichai as we navigate the winding path up the mountain. Along the way, breathtaking views of Chiang Mai city unfold below us. This temple is one of the most significant in Chiang Mai, built in the traditional Lanna architectural style and featuring a distinctive Chiang Saen-style stupa.

Phra That Doi Suthep

พระบรมธาตุดอยสุเทพ

素帖寺（Wat Phra That Doi Suthep Rajvoravihara）位于清迈，是一座非常重要的寺庙。我们沿着胡提凯路出发，经过师父辛维差纪念碑，沿着蜿蜒的山路向上前行。在旅途中，可以俯瞰到清迈市区的美丽景色。寺庙采用了兰纳风格的建筑设计，并拥有象征性的大象造型的尖塔。

ต๊ะต่อนหยอน

“วัดพระบรมธาตุ” ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะตะเภา อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก การเดินทางไปยังตัววัด นักท่องเที่ยวสามารถมุ่งหน้าไปทางสายเอเชียหมายเลข 1 ตรงกิโลเมตรที่ 442 เส้นทางจะไปยังจังหวัดลำปางประมาณ 18 กิโลเมตร จากตัวเมืองจังหวัดตากจนถึงทางแยกเข้า อำเภอบ้านตากขับไปอีก 1.5 - 2 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายเพื่อข้ามแม่น้ำพอข้ามแม่น้ำไปจะเป็นตลาดให้เบี่ยงขวาตรงสามแยกเล็ก ๆ แถวตลาดขับไปเรื่อย ๆ ตามป้าย ไม่เกิน 10 กิโลเมตรก็จะถึงตัววัดอยู่ทางซ้ายมือ

ตามประวัติความเป็นมา วัดพระบรมธาตุอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง เดิมที่วัดแห่งนี้เป็นเมืองตากเก่า ก่อนที่จะมีการย้ายตัวเมืองไปอยู่ที่ ตำบลระแหง ซึ่งเป็นเมืองตากในปัจจุบัน ห่างไปทางทิศใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร อันมีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัย พระนางจามเทวี ล่องเรือเสด็จไปเมืองลำพูน แล้วหยุดพักบริเวณแห่งนี้ พบว่าเป็นเมืองร้าง จึงได้สั่งให้มีการฟื้นฟูบูรณะเมืองจนกลายเป็นชุมชนเมืองตาก วัดพระบรมธาตุ ยังปรากฏในศิลาจารึของพ่อขุนรามคำแหง ที่ทรงกระทำยุทธหัตถี ชนะศึกเจ้าเมืองฉอด บนเนินเขาใกล้กับพระบรมธาตุ ประมาณ 500 เมตร

“Wat Phra Borom That” is located in Moo 3, Ko Tha Phao Subdistrict, Ban Tak District, Tak Province. Travelers can reach the temple by heading along Asian Road No. 1, specifically at kilometer 442. The route continues towards Lampang Province, about 18 kilometers from Tak city to the intersection leading to Ban Tak. After driving for another 1.5 to 2 kilometers, turn left to cross the river. Once across, you will find a market; take a right at the small intersection by the market and continue driving following the signs. Within 10 kilometers, you will arrive at the temple on your left.

According to historical records, Wat Phra Borom That is situated on the western bank of the Ping River. Originally, this area was part of the old Tak city before it was relocated to the current location at Rahan Subdistrict, about 30 kilometers to the south. This location has a rich history dating back to the reign of Queen Cham Thewi, who traveled by boat to Lamphun and stopped to rest here, discovering an abandoned city. She then ordered the restoration and revitalization of the area, leading to the establishment of the Ban Tak community. Wat Phra Borom That is also mentioned in the stone inscriptions of King Ramkhamhaeng, who defeated the lord of the Chao Tua in a battle on a hill approximately 500 meters from the temple.

Wat Phra That Tak

วัดพระบรมธาตุตาก

“佛教圣地寺”位于泰国达府班塔克县喀塔保乡3村。前往寺庙的游客可以沿着亚洲1号公路前行，在442公里处，继续向南行驶约18公里，直到达府市区的交叉口，然后往班塔克县方向再行驶1.5至2公里，左转越过湄平河。过了河后，您会看到一个市场，在市场附近的小三岔口右转，继续按照路标行驶，不超过10公里就能到达寺庙，寺庙在左侧。

根据历史记载，佛教圣地寺位于湄平河的西侧，昔日这里是老达府市，随后城市迁移至现今的拉亥乡，距离这里约30公里，历史可以追溯到查曼提维女皇时期。当时女皇乘船前往轻垄，在这个废弃的城市停留，发现这里是一片荒地，于是下令重建，逐渐形成了如今的达府市。佛教圣地寺还出现在常克汗公拉麦所刻的石碑中，记载了他在靠近佛教圣地寺500米的山坡上战胜喂势的战斗。

Wat Phra That Tak 寺

พระธาตุประจำคนเกิดปีฉลู อยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง เป็นวัดที่เริ่มสร้างในปีฉลู และเสร็จในปีฉลู เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย วัดพระธาตุลำปางหลวงยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระแก้วดอนเต้า” (พระแก้วมรกต) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของลำปาง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะล้านนาสลักด้ว

The sacred relic for those born in the Year of the Ox is located at Wat Phra That Lampang Luang in Lampang Province. This temple was initiated and completed in the Year of the Ox, making it a significant site. It is one of the most well-preserved wooden temples in Thailand, adorned with an array of exquisite ancient architecture. Wat Phra That Lampang Luang also houses the revered "Phra Kaew Don Tao" (Emerald Buddha), which is considered the sacred Buddha image of Lampang. This statue, depicted in a meditative posture, showcases the intricate Lanna art style.

Wat Phra That Lampang Luang

วัดพระธาตุลำปางหลวง

在南邦省的兰邦寺，牛年出生的人会找到他们的佛塔。这个寺庙的开始建立于牛年，并在牛年竣工。它是泰国现存最完整的木寺之一，拥有众多古老的建筑艺术，风景如画。兰邦寺还是著名的“青玉佛”的所在地，这尊佛像是兰邦地区的守护神，采用莲花坐姿，体现了美丽的兰纳艺术。

ดอยหลวงเชียงดาว พร่างพราวดั่งสรวงสวรรค์ เป็นยอดเขาสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย ด้วยหมอกจางๆ ช่างเป็นทิวทัศน์ชวนฝันอย่างแท้จริง

Doi Luang Chiang Dao, shimmering like a paradise, is the third highest peak in Thailand. With its delicate mist, it truly offers a dreamlike landscape that captivates the heart.

Doi Luang Chiang Dao

ดอยหลวงเชียงดาว

เชียงดาว山如同天堂般的璀璨，是泰国第三高的山峰。薄薄的雾气，真是如梦似幻的美景。

土龙清道

ตั้งอยู่บนทิวเขาแดนลาว ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร และมียอดดอยสูงถึง 1,928 เมตร เป็นที่ตั้งของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “ให้เขาช่วยตัวเอง” เปลี่ยนพื้นที่จากไร่ฝิ่นมาเป็นแปลงเกษตรเมืองหนาวที่สร้างรายได้ดีกว่าเก่าก่อน

Nestled in the mountains of Laos, in the Mae Ngon sub-district of Fang district, Chiang Mai province, this area stands at an altitude of 1,400 meters above sea level, with its peak reaching 1,928 meters. It is home to the Ang Khang Royal Agricultural Station, established in 1969 under the royal initiative of His Majesty the King, which aimed to promote self-sufficiency among the local people. The project transformed the region from opium cultivation into a thriving cold-weather agricultural landscape that generates a significantly better income for the community.

Doi Ang Khang

ดอยอ่างขาง

位于清迈府芳县的梅昂镇，拉丁山脉上，海拔1,400米，最高峰达1,928米。这里是安康皇家农业站的所在地，成立于公元1970年，依据国王陛下的王室理念“让山民自给自足”而设立，将种植罂粟的土地转变为寒冷气候的农田，从而创造出比以往更高的收入。

多安康

ทรงพลิกฟื้นจากภูเขาฝิ่นจนกลายเป็นพืชผักเมืองหนาวที่สวยงามและน่าเที่ยวที่สุดของเมืองไทย

ในแต่ละปีเมื่อลมหนาวมาเยือน ภาพของดอกไม้เมืองหนาวสีสวย รวมทั้งดอกซากุระเมืองไทยที่บานสะพรั่งที่ช่วยแต่งแต้มภูเขาสีเขียวให้สวยงาม รวมทั้งพืชผักผลไม้นานาชนิด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดใจ นักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาเยือนดอยอ่างขางในแต่ละปีจนหลายคนอาจลืมไปแล้วว่า ที่นี่เคยเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2513 หรือเกือบ 50 ปีที่แล้ว เมื่อพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาถึงเพราะทรงห่วงใยเกษตรกรชาวไทยภูเขาที่มีการปลูกฝิ่นเป็นอาชีพหลัก สถานีเกษตรหลวงอ่างขางจึงเกิดขึ้น เพื่อใช้เป็นแปลงทดลอง ปลูกพืชผักเมืองหนาวคุณภาพดีแทนป่าฝิ่นดั้งเดิม สตรอว์เบอร์รี่ เป็นพืชพันธุ์ชนิดแรกๆที่นำมาทดลองปลูกที่นี่ จนได้พันธุ์ที่เหมาะสมกับเมืองไทย โดยใช้ชื่อว่า พันธุ์พระราชทาน

ปัจจุบันสถานีเกษตรหลวงอ่างข่าง กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอันดับต้นๆของเมืองไทย เป็นแหล่งจำหน่ายพืชผักผลไม้เมืองหนาวคุณภาพดีให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกทั้งยังสร้างรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนชาวไทยภูเขาอีกด้วย

*ที่เที่ยวห้ามพลาด*
- สวนคำดอย แหล่งรวบรวมดอกกุหลาบพันปีนำเข้า รวมทั้งดอกไม้เมืองหนาว
- สวนหอม แหล่งรวมพันธุ์ไม้หอมทั้งในและต่างประเทศ
- สวนสมเด็จ แหล่งรวมซากุระพันธุ์แท้จากญี่ปุ่น

สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง คือ สถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง หากจะมาเก็บสตรอว์เบอร์รี่ควรมาในช่วงเดือนพฤศจิกายน - เมษายน

*กิจกรรมห้ามพลาด*
- ขี่จักรยาน/ดูนก
- ขี่ล่อ ชมธรรมชาติ
- เดินศึกษาธรรมชาติที่แปลงปลูกป่า

The transformation of Doi Ang Khang from a former opium-growing area to one of Thailand's most beautiful cold weather vegetable and flower destinations is nothing short of remarkable.

Every year, when the cool winds arrive, vibrant blossoms of winter flowers, including Thailand's own cherry blossoms, burst into full bloom, painting the green mountains with breathtaking colors. Alongside these flowers, various types of fruits and vegetables attract countless tourists to Doi Ang Khang, making them forget that this area was once one of the largest opium plantations in Thailand.

Looking back nearly 50 years, to 1970, it was the royal initiative of His Majesty King Bhumibol Adulyadej that spurred the development of this region, as he was concerned for the mountain farmers who relied on opium as their primary livelihood. This led to the establishment of the Ang Khang Royal Agricultural Station, which served as a research facility to cultivate high-quality cold weather crops in place of the traditional opium poppy crops. Strawberries were one of the first experiments, and a variety suitable for Thailand was developed, aptly named the 'Royal Variety.'

Today, the Ang Khang Royal Agricultural Station has become one of Thailand's premier natural tourist attractions, offering an array of high-quality cold weather fruits and vegetables for visitors to purchase and take home. This initiative has not only bolstered the local economy but has also strengthened the mountain communities.

**Must-Visit Attractions:**
- **Kham Doi Garden:** A beautiful collection of imported perennial roses and other cold weather flowers.
- **Hom Garden:** A showcase of fragrant plants from both Thailand and abroad.
- **Somdej Garden:** Home to authentic cherry blossom varieties from Japan.

The Ang Khang Royal Agricultural Station is the first research station of the Royal Project. If you're interested in strawberry picking, the best time to visit is from November to April.

**Cannot-Miss Activities:**
- Biking/Bird Watching
- Riding mules to explore nature
- Nature walks in the reforestation areas 

Doi Ang Khang is truly a blend of breathtaking natural beauty and historical significance. Don't miss the chance to experience this incredible transformation firsthand!

The Royal Agricultural Station Angkhang

สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง

从罂粟山脉复苏，成为泰国最美丽、最具吸引力的寒冷城市蔬菜

每年，寒风来临时，色彩斑斓的寒冷城市花朵，以及盛开的泰国樱花装点着绿色的山脉，同时还有各种各样的蔬菜和水果，这些都是吸引大量游客前来安卡昂山的主要魅力，许多人可能早已忘记此地曾是泰国最大的罂粟种植区之一。

回溯至1970年，近50年前，因国王关心以种植罂粟为主要职业的泰国山民，安卡昂农业站应运而生，作为实验农场，种植优质的寒冷城市蔬菜，以取代原有的罂粟林。草莓是这里首批试种的作物，经过努力培育成功开发出适合泰国的品种，名为“王室品种”。

如今，安卡昂农业站已成为泰国最美丽的自然旅游胜地之一，游客们不仅可以购买优质寒冷城市的蔬菜和水果带回家，此外，该地的旅游业也为泰国山民社区带来了收入，增强了当地的经济力量。

*不容错过的景点*
- 甘道园：集合了各种进口千年玫瑰和寒冷城市花卉的地方
- 香园：汇聚了国内外的香料植物
- 圣母园：汇聚了来自日本的纯正樱花品种

安卡昂农业站是皇家项目的首个研究站，如果想要采摘草莓，建议选择在11月到4月期间前来。

*必做活动*
- 骑自行车/观鸟
- 骑驴，欣赏自然风光
- 在植被种植区进行自然步行学习

安康皇家农业站

ถนนคนเดินปาย แหล่งรวมของกิน ของฝาก มีของกินเยอะดี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ อากาศเย็นสบายเดินเล่นสนุก เป็นความสวยงามอีกแบบหนึ่ง​ของอำเภอปาย

Pai Walking Street is a hub of delicious food and souvenirs. There's an abundance of culinary options available. Most of the tourists are foreigners, and the cool, pleasant weather makes it enjoyable to stroll around. It showcases a different kind of beauty in Pai District.

Pai Walking Street

ถนนคนเดินปาย

Pai Walking Street is a hub of delicious food and souvenirs, with a wide variety of culinary delights. Most of the tourists here are international visitors, and the cool, pleasant weather makes it enjoyable to stroll around. It's a different kind of beauty found in Pai district.

TripNiceDay

ไหว้พระ 9 วัด

ต๊ะต่อนหยอน

ทริปเหนือ

该用户尚未创建任何照片

该用户尚未创建任何地点

该用户尚未创建任何博客