สำนักสงฆ์ พุปะหัง

โอ๊ะป่อย เป็นตลาดเช้าริมธารสวนผึ้ง อยู่ติดริมลำธารภาชี เปิดตั้งแต่ 7.00-14.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ไฮไลท์ที่ไม่อยากให้พลาดคือ เวลา 7.30-8.00 น. ต้องมารอใส่บาตรพระสงฆ์ที่ล่องแพไม้ไผ่มาตามลำน้ำภาชี ซึ่งเป็นภาพประเพณีวัฒนธรรมที่สวยงาม และเป็นศิริมงคลแก่ผู้มาเยือน 

ลำน้ำลำภาชีสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลจากทางทิศใต้ขึ้นสู่ทิศเหนือในชุมชนที่อุดมไปด้วยเรื่องราวสืบต่อของท้องถิ่น หากใครที่ได้มาที่นี่ก็ไม่พลาดที่จะเดินตลาดของชาวบ้าน มีชุดกะเหรี่ยงให้เช่าใส่ถ่ายรูปกัน พร้อมสัมผัสอาหารพื้นถิ่นและของดีอำเภอสวนผึ้ง อาทิ ชาดาวอินคา เมี่ยงถั่วดาวอินคา อั้งหมี่ถ่อง(หรือกินข้าวห่อ) ข้าวแดกงา ข้าวยำสมุนไพร ขนมจีนน้ำยาหยวก ข้าวเหนียวปิ้ง ข้าวเหนียวหมู ผัดไทย ไก่อบโอ่ง ยำผักกูด และสินค้าผลิตภัณฑ์ของชุมชนให้เลือกกันอีกด้วย มาเที่ยวทั้งที ทั้งเจ้าบ้านและผู้มาเยือน ก็ได้พักผ่อน สัมผัสความสุข อิ่มเอมใจ กลับไปพร้อมรอยยิ้ม

Oh Poi is a morning market located by the riverside in Suan Phung, right next to the Phachi River. It operates from 7:00 AM to 2:00 PM on Saturdays, Sundays, and public holidays. One highlight you won't want to miss is the opportunity to offer alms to the monks paddling on bamboo rafts along the river from 7:30 to 8:00 AM. This beautiful cultural tradition brings blessings to all visitors.

The waters of the Phachi River are considered sacred, flowing from south to north through a community rich in local stories. If you find yourself here, be sure to explore the community market, where you can rent traditional Karen outfits for photos. Here, you'll also experience local delicacies and specialties from Suan Phung, such as Inca berry tea, Inca berry leaf wrap, steamed rice in banana leaves, mixed herb rice, rice noodles with curry, grilled sticky rice, sticky rice with pork, Pad Thai, clay pot roasted chicken, and fern salad, alongside various community-produced goods. 

Visiting this place offers both the hosts and the guests a perfect opportunity to relax, find joy, and depart with smiles and cherished memories.

Oh Poi Market

ตลาดโอ๊ะป่อย

โอ๊ะป่อย是位于สวนผึ้ง的一条晨市，紧邻攀爬在ลำธารภาชี的溪流，营业时间为周六和周日，以及节假日的早上7点到下午2点。最不容错过的亮点是每天早上7点30分到8点期间，游客们可以在河边等待，给乘坐竹筏而来的和尚撒米，这是一个美丽的传统文化景象，给每位前来访客带来吉祥的祝福。

ลำภาชี河是从南向北流的神圣河流，流经一个富含地方故事的社区。如果来这里，您一定不要错过探索当地居民的市场，还有租借的卡伦服装，供您拍照留念。您还可以品尝当地美食和สวนผึ้ง的特色产品，如星星茶、星星豆干、包饭、芝麻饭、药草米饭、宮保米粉、烤糯米和猪肉糯米，炒河粉、土窖鸡、青菜沙拉，社区产品等应有尽有。来到这里，无论是主人还是游客，都能享受放松的时光，感受快乐，带着微笑充实地离开。

哦坡市场

น้ำตกเก้าโจน ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยผัก หมู่ 7 ตำบลผาผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง เป็นน้ำตกที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอำเภอสวนผึ้ง เกิดจากสันปันน้ำซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ราบบนเทือกเขาตะนาวศรี เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมทั้งหมด 9 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะชั้นที่ 6 ที่มีลักษณะเป็นสายน้ำไหลดิ่งลงมาตามหน้าผาสูง มีความสวยงามอย่างมาก อีกทั้งบริเวณโดยรอบน้ำตกยังเต็มไปด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด

Kaow Jone Waterfall is located at Ban Huai Pak, Moo 7, in the Pa Phueng sub-district of Suan Phueng District. It is one of the most beautiful and renowned waterfalls in the area. The waterfall is formed by a watershed located on a flat area of the Tanaosri mountain range and is open for visitors to explore its nine stunning levels. Each level boasts its own unique beauty, particularly level six, where the water cascades down a tall cliff, creating a breathtaking sight. The surrounding area is lush with dense forest, making it an ideal spot for a relaxing getaway on the weekend.

Kao Chon Waterfall

น้ำตกเก้าโจน

九层瀑布位于苏安平县帕普翁村7号，成为该地区最美丽和最著名的瀑布之一。它形成于位于坦纳瓦山脉的平坦地带的分水岭。这里对游客开放，共有9个层级，每个层级各具特色，展现出不同的美丽，尤其是第六层，水流从高耸的悬崖上直泻而下，景色令人叹为观止。此外，瀑布周围环绕着茂密的森林，成为度假放松的理想选择。

考春瀑布

ราชชะบุรี

ตลอด

วัดท่าขนุนหรือชาวอำเภอทองผาภูมิรู้จักกันในชื่อวัดหลวงปู่สาย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2473 มีเนื้อที่ 59 ไร่ 2 งาน 30 ตารางวา หนึ่งในวัดสำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี จุดเด่นของวัดแห่งนี้ นั่นคือ “พระพุทธเจติยคีรี” ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูง นักท่องเที่ยวจะต้องขึ้นบันได 1,237 ขั้น เพื่อเดินขึ้นไปยังยอดเขาที่ตั้งของพระเจดีย์ และบริเวณฝั่งตรงข้ามวัด ยังมีรอยพระพุทธบาท ซึ่งจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของวัดท่าขนุน และจะต้องขึ้นบันได 1,173 ขั้น เพื่อนมัสการรอยพระพุทธบาท ทั้งนี้บริเวณด้านบนเป็นจุดชมวิวสูงของอำเภอทองผาภูมิ ท่ามกลางทัศนียภาพธรรมชาติร่มรื่นเขียวขจี

Wat Tha Khun or what locals in Thong Pha Phum refer to as Wat Luang Pu Sai was established in 1930. It covers an area of 59 rai, 2 ngan, and 30 square wah, making it one of the significant temples in Kanchanaburi Province. 

The highlight of this temple is the "Phra Buddha Jetiyakhiri," which majestically stands atop a high hill. Tourists must climb 1,237 steps to reach the peak where the stupa is located. On the opposite side of the temple, there are the footprints of Buddha, which have recently become a new attraction for Wat Tha Khun. To pay respects to the Buddha's footprints, visitors must ascend 1,173 steps. 

When you reach the top, you are greeted by a stunning viewpoint that provides panoramic views of Thong Pha Phum district, surrounded by lush natural scenery.

Wat Tha Khanun

วัดท่าขนุน

塔孔农寺，或称为泰国通巴蓬县的莲得大师寺，建于公元2473年，占地59莱2亩30平方华。它是甘拉南省的一座重要寺庙。这座寺庙的亮点是“佛陀哲提基里”，它巍然矗立在高山之巅。游客需要攀登1237级台阶才能到达佛塔所在的山顶。在寺庙对面，还有一个新旅游景点——佛陀足迹，游客同样需要攀登1173级台阶才能膜拜佛陀的足迹。山顶也是通巴蓬县的高点观景区，四周环绕着郁郁葱葱的自然美景，令人心旷神怡。

塔卡农寺

น้ำตก

สถานที่พักผ่อนเหมาะกับการมากางเต้นท์นอน ที่นี่มีอาหาร น้ำดื่ม ไว้บริการนักท่องเที่ยว ห้องน้ำสะอาด อากาศดีมาก วิวสวยมาก และเจ้าหน้าที่ก็ใจดี ส่วนสถานที่นั้น จุดชมวิวป้อมปี่อยู่ห่างที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม 2 กิโลเมตร บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ด้านหน้าเป็นอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์

This is a perfect spot for camping. Here, you can find food and drinking water available for tourists, along with clean restrooms. The air is incredibly refreshing, the views are stunning, and the staff are very friendly. The viewpoint at Pom Pi is located just 2 kilometers from the Khao Laem National Park office. The atmosphere is serene, surrounded by tall trees, with the Vajiralongkorn Dam reservoir in front.

Pom Pee View Point

จุดชมวิวป้อมปี่

适合露营的休闲场所，这里为游客提供食物和饮用水，卫生间干净，空气清新，景色宜人，而且工作人员非常友好。这个地方的观景点，距离凯拉姆国家公园管理处仅有2公里，环境被高大的树木环绕，前面是瓦奇拉隆功水库。

Pom Pee观景台

วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง) เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2496 ที่บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรี ประมาณ 220 กิโลเมตร

มีความสำคัญมากกับคนในพื้นที่ โดยเฉพาะสำหรับชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่เปรียบหลวงพ่ออุตตมะเป็น "เทพเจ้าแห่งชาวมอญ" วัดวังก์วิเวการาม จึงเกิดจากพลังศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อ และเป็นวัดที่เคยเป็นที่จำพรรษาของ "หลวงพ่ออุตตมะ" วัดจึงเป็นเสมือนตัวแทนหลวงพ่อ และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวมอญ ในการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีของมอญ

ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีการจัดงานคล้ายวันเกิดของหลวงพ่ออุตตมะ มีงานกิจกรรมต่างๆ พิธีกรรมทางศาสนา งานแข่งขันชกมวยคาดเชือก การแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่นการรำแบบมอญ การรำตงของชาวกะเหรี่ยง และมีการแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมชาวไทยรามัญ

Wang Wiwekaram Temple, also known as Wat Luang Por Uttama, is a significant temple led by the renowned monk Phra Raj Udom Mongkol (Luang Por Uttama). This temple was built in 1953 through the collaborative efforts of Luang Por Uttama, along with the local Karen and Mon communities, in the area of Wang Kalang, Sangkhla Buri District, Kanchanaburi Province. It is located near the Thailand-Myanmar border, approximately 220 kilometers from Kanchanaburi town.

The temple holds great importance for the local community, particularly for the Mon people, who regard Luang Por Uttama as the "God of the Mon." The Wang Wiwekaram Temple was established out of the deep faith in Luang Por and served as his residence for many years. It stands as a representative of Luang Por and is seen as a sacred site for the Mon people, where they can conduct their traditional rituals.

Every February, a celebration resembling Luang Por Uttama's birthday is held, featuring a variety of activities, religious ceremonies, rope wrestling competitions, and cultural performances. Local traditions are showcased, including Mon dances and the Kayin dance, with participants often dressing in traditional Mon Thai attire.

Wat Wang Wiwekaram

วัดวังก์วิเวการาม

วัดวังก์วิเวการาม或称为“หลวงพ่ออุตตมะ寺”（พระราชอุดมมงคล พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง）是由หลวงพ่ออุตตมะ与当地的กะเหรี่ยง民族和มอญ居民共同建造的寺庙，建于1953年，位于กาญจนบุรี省的สังขละบุรี，靠近泰缅边境，离กาญจนบุรี市约220公里。

该寺对当地人而言意义重大，特别是对泰国的มอญ族群来说，หลวงพ่ออุตตมะ被视为“มอญ神”。วัดวังก์วิเวการาม因此成为了信仰的象征，也是หลวงพ่อ曾经居住的地方，成为มอญ族人进行传统仪式的重要神圣场所。

每年2月，寺庙会举行类似于หลวงพ่ออุตตมะ的诞生日庆典，内容包括各种活动、宗教仪式、传统的录力拳比赛和地方文化表演如มอญ舞、เงาะ舞，以及穿着泰国มอญ民族传统服饰的盛会。

Wat Wang Wiwekaram寺

หลายคนคงรู้จักสะพานมอญ สังขละบุรี ว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ตัวอำเภอตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า “สามประสบ” คือ สถานที่ซึ่งลำน้ำ 3 สาย ได้แก่ ซองกะเลีย บิคลี่ และ รันตี ไหลมาบรรจบกัน เป็นที่มาของแม่น้ำแคว เมืองแห่งสายน้ำ

สะพานมอญมีความยาวถึง 850 เมตร สร้างเพื่อใช้ข้าม แม่น้ำซองกาเลีย เชื่อมการสัญจร มอญ-สังขละ ให้ถึงกัน สะพานมอญ ยังเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ์ และแสงยามเช้าที่สวยงาม พร้อมสัมผัสวิถีชาวบ้านกลางสายหมอก

Many people may know the Mon Bridge in Sangkhla Buri as the longest wooden bridge in Thailand. The district is located in an area known as "Sam Prasob," where three rivers—Songgaleia, Bikhli, and Ranti—converge, giving rise to the famous Kwai River, a city known for its waterways.

The Mon Bridge stretches an impressive 850 meters and was constructed to span the Songgaleia River, linking the Mon community with Sangkhla Buri. It serves not only as a vital transportation route but also as a stunning viewpoint overlooking the Vajiralongkorn Dam lake, offering breathtaking views of the morning light and a glimpse into the daily life of local villagers amidst the mist.

Uttamanusorn Bridge (Mon Bridge)

สะพานอุตตมานุสรณ์ (สะพานมอญ)

许多人可能知道位于三卡拉布里的摩尼桥是泰国最长的木桥。该地区被称为“三河汇合”，这是三个河流的交汇点，分别是松卡里亚河、比克里河和兰提河，最终形成了著名的克河，这里也是一个以水域而闻名的城市。

摩尼桥长达850米，建造的目的是为了跨越松卡里亚河，连接摩尼人和三卡拉布里的交通往来。摩尼桥也是观赏瓦奇拉隆功水库湖泊的绝佳地点，清晨时分的美丽光景令人陶醉，同时还能感受到当地居民在薄雾中生活的独特风俗。

Uttamanusorn 桥 (Mon Bridge)

ด่านเจดีย์สามองค์ เป็นช่องเขาในทิวเขาตะนาวศรี ตั้งอยู่บนพรมแดนประเทศไทยและประเทศพม่า มีความสูง 282 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

พระเจดีย์สามองค์ เดิมเป็นเพียงก้อนหินวางซ้อนๆ กันสามกอง จึงเรียกที่แห่งนี้ว่าหินสามกอง เป็นที่สักการะของคนไทยโดยทั่วไปก่อนที่จะเดินทางออกเขตแดนไทยเข้าสู่เขตแดนพม่าแต่ครั้งโบราณ ต่อมาในปี พ.ศ.2432 พระศรีสุวรรณคีรี (ทะเจียงโปรย เสตะพันธ์) เจ้าเมืองสังขละบุรี ร่วมกับราษฎรในพื้นที่ก่อสร้างองค์เจดีย์ขึ้นบนหินสามกอง เจดีย์แต่ละองค์สูงประมาณ 6 เมตร ตั้งห่างกันประมาณ 5-6 เมตร ซึ่งในปี พ.ศ.2546 กรมศิลปกรได้ดำเนินการขุดแต่งและพบฐานเจดีย์รูปทรงสี่เหลี่ยมที่ก่ออิฐอยู่ด้านใต้ซึ่งสันนิษฐานว่ามีการสร้างเจดีย์องค์เดิมมาแล้วในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนพระเจดีย์สามองค์เป็นโบราณสถานของชาติในปี พ.ศ.2498
ด่านเจดีย์สามองค์เป็นเขตสิ้นสุดชายแดนไทยด้านทิศตะวันตก ในอดีตเป็นช่องทางเดินทัพของไทยและพม่า นักท่องเที่ยวสามารถข้ามชายแดนเข้าไปชมตลาดพญาตองซูในเขตพม่า โดยติดต่อทำเอกสาร/หลักฐานได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสังขละบุรี

The Three Pagodas Pass is a mountain pass located in the Tanawan Si Range, situated on the border between Thailand and Myanmar. It stands 282 meters above sea level.

Originally, the Three Pagodas were simply three piles of stones, which is why this site was known as "Three Stone Piles." Historically, it served as a place of worship for Thai people before they ventured beyond the Thai borders into Myanmar. In 1889, Phra Sri Suwannakiri (Tachienproi Setthapan), the governor of Sangkhla Buri, along with local residents, built pagodas on top of the three stone piles. Each pagoda stands approximately 6 meters high and is spaced about 5 to 6 meters apart. In 2003, the Fine Arts Department excavated the site and discovered a square-shaped brick foundation beneath, suggesting that the original pagoda was constructed during the Ayutthaya period. The Fine Arts Department officially designated the Three Pagodas as a national historical site in 1955.

The Three Pagodas Pass marks the westernmost point of the Thai border. In the past, it was a strategic route for military movements between Thailand and Myanmar. Nowadays, tourists can cross the border to visit the Payathonzu Market in Myanmar by arranging the necessary documents at the Sangkhla Buri immigration checkpoint.

Three Pagoda Pass

ด่านเจดีย์สามองค์

三座塔是位于达那瓦山脉上的一个山口，位于泰国与缅甸的边界，海拔282米。

三座塔最初只是三块石头叠放在一起，因此这个地方被称为“三石堆”。在古代，这里是泰国人出国进入缅甸之前的祭祀场所。后来在1889年，圣沃博里（查良普赖·斯特格潘）和当地居民共同在三石堆上建造了塔。每座塔高约6米，相距约5-6米。2006年，文物局进行了挖掘，发现了塔下的方形砖砌基座，推测原有的塔是在阿育他雅王朝时期建造的。文物局于1955年将三座塔注册为国家古迹。

三座塔是泰国西部边界的终点，历史上曾是泰国和缅甸军队的通道。游客可以通过边境进入缅甸的仑密市场，具体办理文件可在三座塔移民检查站进行。

三塔关

การจะนะบูลี่

สะพานซูตองเป้ (Zutongpae Bridge)” เป็นสะพานไม้ไผ่ มีความกว้าง 2 เมตร ยาวประมาณ 500 เมตร คำว่า ซูตองเป้ เป็นภาษาไทยใหญ่ มีความหมายว่า “ความสำเร็จ” เป็นสะพานไม้ที่มีเสน่ห์ สวยงามและความเป็นมาที่เป็นความภูมิใจของคนที่นี่

The "Zutongpae Bridge" is a bamboo bridge that is 2 meters wide and approximately 500 meters long. The name "Zutongpae" comes from the Tai Yai language, meaning "success." This charming wooden bridge not only boasts beautiful aesthetics but also carries a rich history that makes the local people proud.

Sutongpe Bridge

สะพานซูตองเป้

"苏通佩桥（Zutongpae Bridge）是一座宽2米、长约500米的竹桥。“苏通佩”在大台语中意为“成功”，这座桥以其迷人的外观和美丽的历史而自豪，是当地人的骄傲所在。

苏通佩大桥

เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่งในประเทศไทย ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน และอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภายในถ้ำปลาเป็นแอ่งน้ำ และมีปลาตัวใหญ่ๆ อาศัยอยู่จำนวนมาก มีชื่อเรียกว่า ปลามุงหรือปลาคัง วงศ์เดียวกันกับปลาคาร์พ 

อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่วนอุทยานถ้ำปลา และวนอุทยานน้ำตกผาเสื่อ ในท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ปายฝั่งขวา อยู่ในอำเภอปางมะผ้า เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ

One of the national parks in Thailand, the Tham Pla - Pha Suea National Park, is located in the areas of Mae Hong Son town and Pang Mapha district in Mae Hong Son Province. Inside the Tham Pla cave, there is a pool of water that is home to many large fish known as "Pla Mung" or "Pla Khang," which belong to the same family as carp.

Tham Pla - Pha Suea National Park encompasses both the Tham Pla and Pha Suea scenic areas, situated within the Mae Pai National Forest Reserve on the right bank. Located in Pang Mapha district, it is a well-known tourist destination.

fish cave

อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ

这是泰国的一处国家公园，位于梅轄省的梅轄市和邦马帕县。洞穴内有一个水潭，里面栖息着许多大型鱼类，名为鲁鱼或凯鱼，和鲤鱼属于同一科。

洞穴公园及帕丝瀑布国家公园涵盖了洞鱼园区和帕丝瀑布园区，位于国家森林保护区内的梅帕伊右岸，坐落在邦马帕县，成为闻名遐迩的旅游胜地。

鱼洞

ชมความงดงามของสายน้ำสีขาวขุ่นที่มีต้นกำเนิดจากลำน้ำแม่สะงาในพม่า โดยน้ำตกผาเสื่อนั้นจัดเป็นน้ำตกขนาดกลาง ที่มีความสูงประมาณ 10 เมตร กว้าง 15 เมตร และมีน้ำให้นักท่องเที่ยวได้ชุ่มฉ่ำกันตลอดทั้งปี ช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำตกสายนี้ก็จะไหลเต็มหน้าผากว้างจนดูคล้ายเสื่อที่ปูลาดลงมา และกลายเป็นที่มาของชื่อน้ำตกผาเสื่อ ครั้นช่วงหน้าแล้งเมื่อน้ำลดน้อยลง ก้อนหินน้อยใหญ่ที่หลบซ่อนอยู่ใต้สายน้ำมานานก็จะเผยตัวออกมาอวด

Admire the beauty of the milky white waters that originate from the Mae Sa Nga River in Myanmar. The Pha Suer Waterfall is categorized as a medium-sized waterfall, standing about 10 meters tall and 15 meters wide. It offers a refreshing flow for visitors throughout the year. During the flooding season, the waterfall cascades over the wide cliff face, resembling a mat unfurled down the rocks, which is the inspiration behind the name "Pha Suer" Waterfall. In the dry season, as the water levels decrease, the various rocks that have been hidden beneath the water for so long come to light, showcasing their unique forms.

Pha Suea Waterfall

น้ำตกผาเสื่อ

欣赏来自缅甸迈沙喀河的乳白色水流之美，帕水滩瀑布被誉为中型瀑布，落差约10米，宽15米，全年都有丰沛的水流供游客畅享。每当雨季来临，瀑布的水流会充满整个宽广的悬崖，仿佛一张铺展的草垫，因而得名帕水滩瀑布。而在干旱季节，当水位下降时，沉睡在水流之下的小石块们便开始显露出它们的身影，展现出别样的魅力。

帕苏瀑布

ชมความงดงามของสายน้ำสีขาวขุ่นที่มีต้นกำเนิดจากลำน้ำแม่สะงาในพม่า โดยน้ำตกผาเสื่อนั้นจัดเป็นน้ำตกขนาดกลาง ที่มีความสูงประมาณ 10 เมตร กว้าง 15 เมตร และมีน้ำให้นักท่องเที่ยวได้ชุ่มฉ่ำกันตลอดทั้งปี ช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำตกสายนี้ก็จะไหลเต็มหน้าผากว้างจนดูคล้ายเสื่อที่ปูลาดลงมา และกลายเป็นที่มาของชื่อน้ำตกผาเสื่อ ครั้นช่วงหน้าแล้งเมื่อน้ำลดน้อยลง ก้อนหินน้อยใหญ่ที่หลบซ่อนอยู่ใต้สายน้ำมานานก็จะเผยตัวออกมาอวด อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวน้ำตกผาเสื่อ เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน ที่ไม่เพียงได้ชื่นใจกับสายน้ำ ยังจะได้ตื่นตากับฝูงปลาที่ว่ายเวียนอยู่ในสายธาร และถ้ามีเวลาเหลือพอ ลองแวะขึ้นไปชม "พระตำหนักปางตอง" ที่อยู่ไม่ไกลจากน้ำตก หรือลงไปชมและให้อาหารปลาที่ "ถ้ำปลา" ในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ ก็เป็นไอเดียที่เข้าท่าทีเดียว เปิดทุกวัน เวลา 08.30-17.00 น. สำหรับค่าเข้าชมนั้น ชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท / ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 5369 2055


Experience the mesmerizing beauty of the milky white waters emanating from the Mae Sa Nga River in Myanmar. The Pha Suer Waterfall is classified as a medium-sized waterfall, standing about 10 meters high and 15 meters wide, providing refreshing water for tourists year-round. During the rainy season, the waterfall flows abundantly over the wide cliff, resembling a mat laid down, which is how it got its name, Pha Suer.

In the dry season, when the water level decreases, the various stones that had been hidden beneath the rushing waters for so long come to light and reveal their beauty. However, the best time to visit Pha Suer Waterfall is from July to September, during the rainy season. This is when you can not only enjoy the refreshing waters but also witness schools of fish swimming in the stream. If you have some spare time, consider visiting the "Phra Tamnak Pang Tong," which is located not far from the waterfall, or go down to "Fish Cave" in the Fish Cave-Pha Suer National Park to feed the fish—both are excellent ideas.

The park is open daily from 8:30 AM to 5:00 PM. Entrance fees are as follows: for Thai citizens, 20 baht for adults and 10 baht for children; for foreign visitors, 100 baht for adults and 50 baht for children. For more information, please call 0 5369 2055.

欣赏来自缅甸的梅萨干河源头的浑浊白水之美，帕苏恩瀑布被归类为中型瀑布，落差约10米，宽15米，全年都有水源让游客畅享清凉。在洪水季节，这条瀑布水流丰沛，满满地倾泻而下，看起来就像是一块铺开在悬崖上的地毯，这也是“帕苏恩”的名字由来。而在旱季，水位下降后，长久隐藏在水下的大小石块便显现出来。不过，前往帕苏恩瀑布的最佳时机是从七月到九月，正值雨季。这时候，不仅能感受到水流的清凉，还能惊叹于在水流间游动的鱼群。如果时间允许，还可以去不远处的“帕干棕王室别墅”游玩，或者前往“鱼洞”，在那里喂养鱼，都是不错的选择。开放时间为每天08:30-17:00。在入园费用方面，泰国公民：成人20泰铢，儿童10泰铢；外国游客：成人100泰铢，儿童50泰铢。如需更多信息，请致电0 5369 2055。

หมู่บ้านบรรยากาศสุดอบอุ่น ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เดิมชื่อ “บ้านแม่ออ” เป็นชุมชนชาวจีนยูนนาน ลูกหลานทหารกองพล 93 ที่เดินทางมากจากตอนใต้ของจีนเมื่อหลายสิบปี ก่อน ปัจจุบันอาศัยอยู่ร่วมกันกับพี่น้องชาวไทใหญ่และชาวไทยภูเขาเผ่าอื่น ๆ

This warm and inviting village is located in Moo 6, Mok Jam Pair Subdistrict, Mueang Mae Hong Son District. Originally named "Ban Mae Or," it is a community of Yunnan Chinese descendants, whose ancestors were soldiers of the 93rd Division who migrated from southern China many decades ago. Today, they live harmoniously alongside their brothers and sisters from the Shan ethnic group and other hill tribes in the area.

Rak Thai Village

หมู่บ้านรักไทย

这个温馨的村庄位于泰国湄宏顺府的莫加姆帕地方6号，原名“玛艾阿村”，是一个由云南华人社区组成的地方。这些人是93师的士兵后裔，几十年前从中国南部迁移而来。如今，他们与傣族兄弟姐妹以及其他山地民族共同生活。

泰国村

Day2 ไปแม่ฮ่องสอน ไปตามหาทองคำกับจิ่งนะ

ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ ดอกบัวตอง 500 ไร่ จะบานสะพรั่งพร้อมๆ กันในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม

The Golden Lotus Flower Field at Doi Mae Ukho spans 500 acres and bursts into bloom simultaneously during the months of November and December.

Thung Bua Tong, Doi Mae U Kho

ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ

大观山的千千万万朵金莲花（ทุ่งดอกบัวตอง）将在十一月到十二月期间齐齐绽放，覆盖500英亩的土地。

อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ บ้านหัวแม่สุริน ตำบลแม่อูคอ ห่างจากตัวอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ประมาณ 50 กิโลเมตร น้ำตกแม่สุรินทร์เป็นน้ำตกชั้นเดียวที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันที่มีความสูงประมาณ 80 เมตร และนับเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย น้ำตกสายนี้มีแม่น้ำสุรินทร์เป็นแหล่งต้นน้ำ หมอกปกคลุมท่ามกลางป่าเขาและมีน้ำไหลตลอดทั้งปี

Suirin Waterfall National Park, located in Ban Hua Mae Surin, Mae U Kho Subdistrict, is approximately 50 kilometers from the town of Mae Hong Son. The waterfall is a single-tier cascade that descends from a steep cliff about 80 meters high, making it one of the tallest waterfalls in Thailand. This spectacular waterfall is fed by the Surin River, and it is surrounded by mist in the midst of the mountains, with a steady flow of water throughout the year.

Mae Surin Waterfall National Park

อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์

位于泰国梅洽蓬县的玛苏林瀑布国家公园，距离县城大约50公里，位于华玛苏林村，属于梅乌克地区。玛苏林瀑布是一处单层瀑布，从约80米高的陡峭悬崖倾泻而下，是泰国最高的瀑布之一。此瀑布的水源来自苏林河，雾气弥漫在森林山间，流淌的水源一年四季不断。

湄苏林瀑布国家公园

ผาบ่อง

"วัดก้ำก่อ" (ก้ำก่อภาษาไทยใหญ่แปลว่า "ดอกบุนนาค")ตามประวัติกล่าวว่าวัดก้ำก่อสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ . ศ 2433 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 13 ค่ำเ เดือน 2 ปีขาล จ . ศ . 1252 โดยเจ้าอาวาสรูปแรกของวัด นามว่า '' ครูบาเฒ่า '' ชาวไทใหญ่ผู้อพยพมาจากเมืองเชียงทอง เป็นผู้ริเริ่มสร้างวัดนี้ขึ้น ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า '' ตุ๊เจ้าเจียงตอง '' ( ออกเสียงตามภาษาพื้นเมือง ) หมายถึงพระที่มาจากเมืองเชียงของนั่นเอง ประวัดการก่อตั้งวัดก้ำก่อพอจะสรุปได้ว่าเมื่อครั้งที่ครูบาเฒ่าอพยพมาจากเมืองเชียงทองเข้ามาสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น ท่านได้เดินทางมาจนพบที่ว่างขนาดครึ่งสนามฟุตบอลอยู่ท่ามกลางป่าไม้ล้อมรอบ สามารถสร้างวัดได้โดยไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่าหรือทำการปรับพื้นที่ให้ ๆ อีกจึงได้ชักชวนชาวบ้านมาดูและตัดสินใจสร้างวัดขึ้นในที่นั้น โดยชาวบ้านเป็นผู้หาวัสดุก่อสร้างและลงแรงกันเอง วัดก้ำก่อมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบไทใหญ่ คือมีการสร้างวัดโดยฝีมือของช่างชาวไทใหญ่ที่ได้เข้ามาอาศัยและได้ศรัทธาในวัดนี้ วัดก้ำก่อมีสิ่งปลูกสร้างที่โดดเด่น คือมีซุ้มประตูทางเข้าไปสู่ศาลาการเปรียญ หรือที่เรียกว่า "ส่างหว่าง" เป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของอาคารทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดแม่ฮ่องสอนตามแบบสถาปัตยกรรมไต(ไทใหญ่) จะมีเฉพาะอาคารวัดเท่านั้นไม่มีในอาคารบ้านเรือนของชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ในสมัยก่อนเมื่อจะเข้าไปในวัดชาวบ้านจะนิยมถอดรองเท้าไว้แล้วเดินเข้าวัดทาง "ส่างหว่าง" เนื่องจากเชื่อกันว่าถ้าสวมรองเท้าเข้าไปในวัดนอกจากจะไม่เคารพสถานที่แล้ว เวลาเดินออกจากวัดนั้นยังจะมีดินมีทรายติดรองเท้าไปด้วยถือว่าเป็นบาปมาก และเพื่อไม่ให้นำสิ่งสกปรก สิ่งไม่ดีไม่งามทั้งหลายเข้าไปในวัดและในขณะเดียวกันก็จะไม่เอาอะไรออกจากวัดไป ดังนั้นเมื่อเรายืมสิ่งของจากวัดเช่น ถ้วย จาน ฯลฯ ของวัดไปใช้ในงานบุญต่าง ๆ แล้ว เวลาส่งคืนวัดหากสิ่งของใดขาดไปต้องรีบเอาสิ่งนั้นในบ้านมาใช้แทนหรือไม่ก็ซื้อใหม่มาใช้แทนทันที โดยจะถือว่าสิ่งของของตนไปอยู่ในวัดดีกว่าสิ่งของในวัดมาอยู่ในบ้านของตน ส่างหว่างเป็นสถาปัตยกรรมไต (ไทใหญ่) ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2484 โดยนายส่วยจิ่ง นางยุ้น ตรีทอง เป็นเจ้าศรัทธาสร้างถวาย สิ่งสำคัญภายในวัด ประกอบด้วย 1. พระประธาน พระสังฆราชองค์ปัจจุบันเป็นผู้ประทานให้วัด 2. พระมัณฑะเลย์ ย้ายมาจากอุโบสถหลังวิหารวัดพระนอน จเรหม่องเจ้าศรัทธาและได้นำมาประดิษฐ์ไว้ที่วัดก้ำก่อเมื่อ ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 8 พ.ศ. 2509 โดยมีหลวงพ่อกุงหม่า (กมล)กุสโลภิกขุและพระมหารักษ์ สุภิญโญ ได้อัญเชิญนำมาประดิษฐ์ไว้ ณ วัดก้ำก่อ รวมอายุประมาณ 80 ปี 3. พระสาน (อายุประมาณ 114 ปี) ศรัทธาแม่เฒ่าจางย้อย เช่าบูชามาจากมัณฑะเลย์ประเทศพม่านำมาถวายเป็นองค์ประธาน ณ วัดก้ำก่อ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด 4. พระหินอ่อนทรงเครื่อง ศรัทธา คุณบุญชู คุณปริศนา ตรีทอง นำมาจากประเทศพม่า เพื่อถวายให้ประดิษฐ์อยู่ที่วัดก้ำก่อเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2533 5. ธรรมาสน์เก่าแก่ ศรัทธาพ่อเฒ่าจองติยะ นางโหย่ง ถวายเมื่อเริ่มสร้างวัด รวมอายุประมาณ 114 ปี 6. พระหินดำ เป็นศิลปกรรมมาจากอังวะ (เอว่า) เช่ามาจากร้านขายของเก่าบริสุทธิ์แอนติก อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2539 7 . โบสถ์ สร้างขึ้นเมื่อ 8 มกราคม พ.ศ. 2533 ใช้ในการประกอบศาสนพิธีของคณะสงฆ์ เป็นโบสถ์ที่ผสมผสานศิลปแบบไทใหญ่ และพม่า 8 . ศาลาปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ขนาดบรรจุ ผู้ปฏิบัติธรรมได้ไม่น้อยกว่าครั้งละ 100 คน สร้างเมื่อ 10 มีนาคม 2519 9 . ศาลาสุวรรณสมบูรณ์ สร้างขึ้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2516 ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา รวมทั้งใช้เก็บศพ และสวดพระอภิธรรม 10 . โรงครัว สร้างเมื่อ 19 ธันวาคม 2529 ใช้ในการทำอาหารเพื่อนำมาเลี้ยงในงานหรือพิธีต่าง ๆ 11 . กุฏิรับรองหลังใหญ่ ใช้บรรจุผู้มาเยือน และพักอาศัยได้ครั้งละไม้น้อยกว่า 50 คน 12 . กุฏิรับรองหลังเล็ก ใช้บรรจุผู้มาเยือน และพักอาศัย 13 . กุฏิพระครูปัญญาวราภรณ์ ลักษณะเป็นตึกแถว มีห้องนอนห้องน้ำห้องส้วมเป็นสัดเป็นส่วน สร้างเมื่อ 17 สิงหาคม 2531 14 . กุฏิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ท่านเคยเสด็จมาพำนักและนำพระประธาน ขนาดหน้าตัก 60 นิ้ว ปาง "มารวิชัย" ไปประธานให้เป็นมิ่งขวัญแก่วัด เมื่อ 14 พ.ย. 2520 และ 14 ก.พ. 2532 15 . ศาลาหลวงปู่โต เป็นที่ประดิษฐ์สถานรูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) และรูปเหมือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปิยมหาราช สร้างเมื่อ 16 มีนาคม 2532 นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 053 612 226


Wat Kam Ko, which translates to "flower of the Bunnaak tree" in the Thai Yai language, was established on January 22, 1890, coinciding with the day of the waxing moon on the 13th night of the second lunar month in the Year of the Tiger (B.E. 1252). The temple’s first abbot, known as "Khru Ba Thao," was a Thai Yai immigrant from Chienthong who initiated the construction of this temple. The local community affectionately referred to him as "Tuu Jao Chiang Tong," meaning "the monk from Chiang Khong."

The establishment of Wat Kam Ko can be summarized as follows: When Khru Ba Thao emigrated from Chienthong to Mae Hong Son Province, he traversed the region until he discovered a clearing approximately the size of half a football field, enveloped by forest. This location was ideal for constructing a temple without felling trees or altering the landscape. He subsequently invited the locals to come and decide on the temple's establishment. The local community collectively sourced construction materials and contributed their labor.

The architectural style of Wat Kam Ko reflects Thai Yai traditions, created by skilled artisans from the Thai Yai community who settled in the area and embraced the temple. A standout feature of the temple is the entrance arch leading to the sermon hall, known as "Sang Wan," which is a hallmark of Buddhist architecture unique to Mae Hong Son, designed specifically for temples, not typical residential buildings.

In the past, it was customary for visitors to remove their shoes before entering the temple through the "Sang Wan" as it was believed that wearing shoes inside the temple showed disrespect. Furthermore, it was thought that dirt and sand from outside would cling to the shoes, which would be regarded as a significant sin. To preserve the sanctity of the temple and ensure that no impurities were carried inside, the practice encouraged not taking anything out of the temple either. Hence, when borrowing items like bowls or plates from the temple for merit-making ceremonies, if any items were missing upon return, the borrower would immediately replace them with something from home or purchase a new one. This reflects the belief that it's better for one's belongings to reside in the temple than for temple items to reside in one’s home.

The "Sang Wan," a distinct Thai architecture, was built in 1941 by philanthropists Mr. Suay Jing and Mrs. Yun Tree Thong. Key features within Wat Kam Ko include several important artifacts:

1. The principal Buddha statue, presented by the current Supreme Patriarch.
2. The Mandalay Buddha, transferred from the ubosot (ordination hall) of Wat Phra Non, dedicated on the 13th day of the 8th lunar month in 1966 by Phra Khru Kunma (Kamal) and Phra Maharak Suphinyo. It has been enshrined in Wat Kam Ko for approximately 80 years.
3. The Saan Buddha (approximately 114 years old), venerated by the local community, was brought from Mandalay, Myanmar, and has been the principal statue since the temple's inception.
4. The marble Bodhisattva statue was presented by Mr. Boon Choo and Mrs. Prisana Tree Thong, brought from Myanmar to be enshrined on April 7, 1990.
5. The ancient Dhammasana, donated by the local elder community, created when the temple was first built, is approximately 114 years old.
6. The black stone Buddha, an artistic piece sourced from Aung Wa, obtained from a vintage shop in San Kamphaeng, Chiang Mai, on April 7, 1996.
7. The temple hall, built on January 8, 1990, serves as a venue for religious ceremonies, showcasing a blend of Thai Yai and Burmese architectural styles.
8. The Vipassana Meditation Hall, designed to accommodate at least 100 practitioners, was established on March 10, 1976.
9. The Suwan Somboon Hall, constructed on December 5, 1973, is used for religious ceremonies and housing the deceased.
10. The kitchen, built on December 19, 1986, serves meals for various ceremonies and events.
11. The large guest quarters can host up to 50 visitors.
12. The small guest quarters accommodate additional visitors.
13. The ห้องคุณสมบัติครูปัญญาวราภรณ์, a row-style building with well-defined bedrooms, bathrooms, and toilets, was established on August 17, 1988.
14. The quarters of Somdej Phra Yannasangworn, the Supreme Patriarch, who once resided here and brought a principal Buddha statue measuring 60 inches in the Mara Victory pose for the temple's auspiciousness on November 14, 1977, and February 14, 1992.
15. The Luang Pu To Hall features statues of Somdej Phra Phutthachao (To Phromrangsi) and King Chulalongkorn (Rama V), built on March 16, 1989.

Visitors interested in learning more can contact us at 053 612 226.

Wat Kam Ko

วัดก้ำก่อ

"甘果寺"（在泰文大語中的意思是“帝王花”）根据历史记载，甘果寺建立于公元1890年1月22日，即公历1890年，农历二月初十三，属于虎年，创始人是首位住持“长老”，他是来自清通的泰国大民族移民。村民们称他为“姜通法师”（根据当地方言发音），意思是来自清江的人。在建立甘果寺的历史中可以总结为，长老从清通迁移到梅洪松府时，他很幸运地找到一个大约半个足球场的空地，四周被森林环绕，能够在不砍伐树木或开发土地的情况下建寺，因此他召集村民共同决定在那个地方建立寺庙。村民们自发提供建筑材料并参与建设。

甘果寺的建筑风格为泰民族典型的架构，由来自泰国大民族的工匠建造。寺庙的一大特色是通往法堂的门楼，称为“桑万”。这是梅洪松府佛教建筑的独特标志，只有寺庙存在，并没有出现在普通民宅中。以前，在进入寺庙时，村民们通常会脱鞋，从“桑万”走入，因为他们相信如果穿着鞋子进入寺庙，除了不尊重这个圣地，走出寺庙的时候鞋子上还会带着泥土和沙子，这被认为是严重的罪过。为了不把不洁和不美好的东西带入寺庙，同时也不希望把任何东西带出寺庙。比如，当我们借用寺庙的物品，如碗、盘子等用于佛事时，归还时如果有物品损坏，就必须立刻从家中拿出相应的物品来替代，或者马上购买新的物品。因为大家认为，将自己的物品带入寺庙比将寺庙的物品放在自己的家中要好得多。

“桑万”是泰民族的建筑风格，建于公元1941年，由信士苏雅丁和云春贡献捐赠。寺内重要的物品包括：
1. 主佛像：当今的宗教领袖赠与寺院的佛像。
2. 曼德勒佛像：从卧佛寺搬回甘果寺，完成于1966年农历八月十三日，由高僧贡玛（卡蒙）和尚和高僧拉克·苏平庙共同安置，至今大约80年。
3. 信士妈长尧供奉的佛像（约114岁），从缅甸曼德勒租借而来，成为甘果寺的主佛像，自寺庙建立以来一直保留。
4. 带装饰的黑色大理石佛像，由信士布恩丘和帕瑞诗安捐赠，自缅甸运来，安置在甘果寺，日期为1990年4月7日。
5. 古老的法师座，信士巴博士和提亚在建立寺庙时捐赠，至今约114年。
6. 黑色石雕佛像，来自昂山（厄瓦），于1996年4月7日从清迈圣坎喷古董店租借而来。
7. 寺庙大殿于1990年1月8日建成，用于僧团的宗教仪式，结合了泰和缅甸的建筑风格。
8. 静修厅，可容纳100名修行者，建于1976年3月10日。
9. 黄金大厅，建于1973年12月5日，用于宗教仪式，也用于存放遗体及念佛。
10. 厨房，于1986年12月19日建成，用于为宗教活动或仪式准备餐饮。
11. 大访客房，可容纳50名以上的游客或入住者。
12. 小访客房，接待游客和入住。
13. 龟觉法师的房舍为排屋式设计，设有卧室、浴室和厕所，建于1988年8月17日。
14. 已故的住持道觉大和尚曾到此居住并赠送了一个60寸的“摩诃勒布”主佛像，日期为2520年11月14日和2532年2月14日。
15. 大仙湖的雕塑是太庙的代表之一，描绘了舍利佛和朱拉波汶王的雕像，建于1992年3月16日。

有兴趣的游客可以拨打电话053 612 226进行咨询。

金阁寺

วัดม่วยต่อ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2432 โดยเจ้านางเมียะ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนในสมัยนั้น ชื่อวัดนี้ได้มาจากเจ้าอาวาสรูปแรกย้ายมาจากวัดม่วยต่อ อำเภอหมอกใหม่ รัฐฉาน ในประเทศเมียนมา และท่านได้นำชื่อวัดม่วยต่อมาใช้ด้วย ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "จองหม่วยต่อ" และเรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. 2466 ครั้นในปี พ.ศ. 2498 พระราชวีรกรเจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ และเจ้าคณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้สร้างศาลาการเปรียญทรงไทใหญ่ขึ้นใหม่ เป็นศาลาการเปรียญในสถาปัตยกรรมแบบไทใหญ่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน วัดม่วยต่อแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งสำหรับจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะไม่เพียงสะท้อนวัฒนธรรมไทใหญ่ผ่านสถาปัตยกรรมล้ำค่าและประเพณีต่าง ๆ เช่น ประเพณีต่างซอมต่อโหลง (ถวายข้าวมธุปายาส) เทศกาลเข้าพรรษา เทศกาลออกพรรษา งานสงกรานต์ที่จัดขึ้นเป็นประจำภายในวัดเท่านั้น หากยังมีสิ่งสำคัญที่น่าชมมากมาย วัดม่วยต่อจัดงานประเพณีเขาวงกตทุกวันขึ้น 10-15 ค่ำ เดือน 12 ไฮไลต์น่าชม พระประธานในอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปทองเหลือง นำมาจากประเทศพม่าในปี พ.ศ. 2466 พระประธานในศาลาการเปรียญ เป็นพระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์ ศิลปะแบบพม่า พระพุทธรูปสิงห์ 1 สิงห์ 3 ภายในวัด ประดิษฐานอยู่หน้าพระประธานในศาลาการเปรียญ งาช้างแกะสลักเป็นพระพุทธรูป 2 คู่ อยู่ภายในศาลการเปรียญ นำมาจากประเทศพม่าในปี พ.ศ. 2466 แท่นพระแบบปราสาทยอดแหลม เจดีย์และระฆังแบบกระดิ่งรูปใหญ่ ซึ่งปัจจุบันค่อนข้างทรุดโทรม พระเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ ล้อมรอบด้วยพระเจดีย์บริวาร ยอดประดับด้วยฉัตรโลหะ แขวนกระดิ่งโดยรอบและจอง (ปราสาท) ซึ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2527


Wat Muai Tor was established in 1889 by Lady Mia, who was the ruler of Mae Hong Son at the time. The name of the temple was derived from the first abbot, who moved here from Wat Muai Tor in the Mok Mai District of Shan State, Myanmar, and decided to keep the same name. The locals refer to it as "Jong Muai Tor," a name that has persisted to this day. The temple was officially registered in 1923, and in 1955, Phra Rajveerakorn, the abbot of Wat Muai Tor and the ecclesiastical head of Mae Hong Son Province, constructed a new sermon hall in the style characteristic of the Tai Yai architecture still prevalent today.

Wat Muai Tor holds great significance for Mae Hong Son Province not only as a reflection of Tai Yai culture through its precious architecture but also through various traditions, such as the Toh Long Rice Offering Ceremony, the Buddhist Lent Festival, the End of Buddhist Lent Festival, and the Songkran Festival, which are regularly celebrated at the temple. Additionally, the temple is renowned for a wealth of attractions.

The temple organizes the Maewong festival every month, from the 10th to the 15th of the 12th lunar month. A highlight is the principal Buddha statue in the ordination hall, a brass Buddha image brought from Myanmar in 1923. In the sermon hall, there is also a bronze Buddha statue in the Burmese style, as well as two pairs of intricately carved elephant statues that were also brought from Myanmar in 1923. The temple features a spire-like altar, a large bell-shaped stupa, and other structures that are currently in a state of disrepair. The temple’s stupa, which is adorned in the Mon style, is surrounded by smaller stupas and topped with a metallic ornate umbrella, complete with hanging bells and "jong" (a type of pagoda), which were newly constructed in 1984.

Wat Muay Tor

วัดม่วยต่อ

姆许托寺于公元2432年由当时的梅亨松市长梅亚娜公主所建立。这个名字来源于第一任住持从缅甸掸邦的姆许托寺迁至此处，因此居民们便称之为"乔姆许托"并沿用至今。该寺于公元2466年正式注册。公元2498年，姆许托寺的住持和梅亨松省的教长重新建造了一座体扬美中的大法堂，成为现今体扬美建筑风格的法堂。

姆许托寺对梅亨松省具有重要的意义，因为它不仅通过珍贵的建筑反映了体扬美的文化，还有多种传统习俗，如“供米油果”的各类节日、入夏节、出夏节和在寺内定期举行的宋干节。

每年12月的10日至15日，姆许托寺都会举行迷宫庆典。值得一看的亮点是法堂内的主佛像，这是一尊于公元2466年从缅甸引进的黄铜佛像。同时，法堂内还有一尊缅甸风格的铜制佛像、佛像狮子以及其他数尊佛像，主佛像都在法堂前方。并且，法堂内还设有两对由象牙雕刻的佛像，这也是于公元2466年从缅甸引进。

此外，这里还拥有尖顶的佛坛、古老的佛塔和大型的钟，虽然现在已经稍显破旧。莫尼风格的佛塔环绕在附属的佛塔周围，顶部点缀着金属伞，并悬挂着周围的钟声以及于公元2527年重新修建的佛殿。

泰拳

วัดพระธาตุดอยกองมู แหล่งท่องเที่ยวโดดเด่นประจำท้องถิ่น วัดเก่าแก่คู่เมืองแม่ฮ่องสอนที่ตั้งอยู่บนยอดเขามีความสูง 1,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล กล่าวกันว่าใครที่มาแม่ฮ่องสอนแล้วไม่ได้ไปที่นี่ถือว่ายังไม่มาถึง ทั้งนี้เดิมชื่อวัดปลายดอย ตั้งอยู่บนยอดดอยกองมู พระธาตุเจดีย์ของวัดนี้สร้างขึ้นเป็นแห่งแรกในแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วยพระเจดีย์ 2 องค์ ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพระธาตุดอยกองมูตามนามพระธาตุ นอกจากเป็นศาสนสถานสำคัญแล้วยังเป็นจุดชมวิวเมืองของแม่ฮ่องสอนด้วย เพราะสามารถที่จะเห็นภูมิประเทศของเมืองแม่ฮ่องสอน และเทือกเขาถนนธงชัยสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา

Wat Phra That Doi Kong Mu is a prominent travel destination in the local area, an ancient temple that has become a symbol of Mae Hong Son, situated atop a mountain 1,300 meters above sea level. It is often said that anyone who visits Mae Hong Son but does not come here has not truly arrived. Originally known as Wat Plai Doi, it is located on the summit of Doi Kong Mu. The pagodas of this temple were the first to be constructed in Mae Hong Son, consisting of two chedis. Later, the temple was renamed Wat Phra That Doi Kong Mu after the name of the chedis. In addition to being an important religious site, it also serves as a viewpoint for the entire city of Mae Hong Son, offering breathtaking views of the landscape and the intricate ridges of the Thong Chai mountain range as far as the eye can see.

Wat Phra That Doi Kong Mu

วัดพระธาตุดอยกองมู

วัดพระธาตุดอยกองมู是当地著名的旅游胜地，位于海拔1300米的山顶，是宏香县的一座古老寺庙。传说中，来宏香的人如果没有去过这里，就算是没有真正到达这座城市。该寺的旧名为“วัดปลายดอย”，它坐落在ดอยกองมู山顶，是宏香县第一座建立的佛塔，最初包括两座佛塔，后来根据佛塔的名称更名为วัดพระธาตุดอยกองมู。

除了作为重要的宗教场所外，这里还提供了美丽的城市观景点，你可以俯瞰宏香县的地貌以及蜿蜒复杂的通天山脉，景色迷人，令人心醉。

วัดหัวเวียงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2406 และเป็นวัดหลังที่สองของเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งคำว่า หัวเวียง นั้นก็คือหัวเมืองนั่นเอง กล่าวกันว่า วัดหัวเวียงหลังแรกสร้างขึ้นมามีศาลาการเปรียญถึง 7 หลัง แต่พอถึง พ.ศ. 2515 ศาลาทั้ง 7 หลังนี้ ได้ถูกรื้อถอนทั้งหมด และได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ที่ใช้กันจนถึงปัจจุบันขึ้นมาแทน ความสำคัญของวัดหัวเวียงนั้น ถือเป็นศูนย์กลางของแม่ฮ่องสอน และเป็นที่ใช้ประโยชน์สำหรับสาธารณะ เช่น เป็นหน่วยเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตลอดทั้งยังเป็นที่ชุมนุมของลูกเสือชาวบ้านทุกเดือน แม้แต่การประชุมพระสังฆาธิการในอำเภอและต่างอำเภอ ในจังหวัดและต่างจังหวัด ก็ยังจัดขึ้นที่วัดนี้เป็นประจำอยู่เสมอ ไฮไลท์น่าชม พระพุทธรูป 5 องค์ เป็นพระพุทธรูปโบราณ องค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง หันพระพักตร์อยู่ทางทิศตะวันออก สร้างเมื่อ พ.ศ. 2406 องค์รองลงมาอยู่ด้านหน้าขององค์ใหญ่หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ส่วนองค์เล็กอีก 3 องค์ สร้างเรียงไว้ทางทิศเหนือ โดยจำนวน 2 องค์สร้างไว้ทางทิศใต้ และอีกองค์หนึ่งหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ วิหารพลาละแข่ง สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพลาละแข่งที่จำลองมาจากเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์ โดยลุงจองโพหย่าและลุงจองหวุ่นนะ ได้เดินทางไปนิมนต์มาพระเจ้าพลาละแข่งองค์นี้ และหล่อเป็นท่อน ๆ ทั้งหมด 9 ท่อน บรรทุกเรือมาตามแม่น้ำปาย แล้วมาประกอบที่วัดพระนอน ก่อนนำมาประดิษฐานที่วัดหัวเวียง ซึ่งชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าพระเจ้าพลาละแข่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของแม่ฮ่องสอนอีกองค์หนึ่ง วิหารทรงปราสาท 2 องค์ โดยองค์ใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีความกว้างและยาวเท่ากัน คือ 1,850 เมตร สูงจากพื้นประมาณ 15 เมตร ตัวอาคารสร้างด้วยไม้ พื้นล่างเป็นคอนกรีต เฉพาะพื้นด้านในปูด้วยกระเบื้องลายต่าง ๆ ผนังคอนกรีตขึ้นรับกับฝาลูกกรงไม้ หลังคาเป็นชั้น ๆ รวมสามชั้น ส่วนยอดเป็นยอดโดม มุงด้วยสังกะสี และสลักลวดลายสังกะสีประกอบทุกชั้น สำหรับวิหารหลังเล็กซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกนั้น ก่อสร้างแบบเดียวกับวิหารหลังใหญ่ และสันนิษฐานว่าคงจะสร้างขึ้นพร้อมกันแต่มีความละเอียดกว่า โดยมีหลังคา 5 ชั้น ไม่รวมยอดโดมและฉัตร ตัววิหารมีความกว้าง 6.40 เมตร ยาว 8.30 เมตร ภาษาไทใหญ่เรียกวิหารเล็กนี้ว่า "อะโหย่งข่าม" ซึ่งหมายถึงที่รับแขก วิหารหลังนี้ใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปี จึงเสร็จเรียบร้อย โดยนำวัสดุในการก่อสร้างจำพวกสังกะสีกระจกสีและกระเบื้องปูพื้นมาจากเมียนมาร์ ศาลาจำศีล อาคารไม้หลังคามุงสังกะสีแห่งนี้ ประดับลายเจาะสังกะสี มีรูปทรงสวยงาม เป็นศาลาไม้แบบไทใหญ่ซึ่งสร้างขึ้นสมัยรัตนโกสินทร์ และได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรแล้ว อุโบสถหลังใหม่ สร้างตามแบบอย่างสถาปัตยกรรมไทใหญ่ผสมผสานพม่า เป็นอาคารคอนกรีตหลังคายกชั้นสูงเป็นชั้น ๆ มุงกระเบื้องประดับลายเจาะสังกะสี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 5361 2003


Wat Hua Wiang was established in 1863 and is the second temple built in Mae Hong Son. The term "Hua Wiang" refers to the central city. It is said that the original Wat Hua Wiang had seven assembly halls, but by 1972, all seven were demolished and replaced with a new assembly hall that is still in use today. Wat Hua Wiang plays a significant role as the center of Mae Hong Son and serves public purposes, including being a polling station for local council members, provincial council members, and members of parliament. It is also a regular meeting point for local scouts and even hosts gatherings for monks from this district and others in the province, and from adjoining provinces.

Highlights of the temple include five ancient Buddha statues, with the largest facing east, constructed in 1863. The smaller statues in front also face east, while three smaller ones are arranged to the north, with two positioned to the south and one facing north. 

The Phra Lao Kaeng Hall was built to house a statue of Phra Lao Kaeng, a replica from Mandalay, Myanmar. Uncle Jong Po Ya and Uncle Jong Hoon traveled to invite this revered statue, which was cast in nine segments, transported by boat along the Pai River, and assembled at Wat Phra Non before being enshrined at Wat Hua Wiang. The people of Mae Hong Son revere this statue as one of the city’s principal icons.

The two castle-style halls featured have square bases, each measuring 1.85 meters on each side and rising about 15 meters above the ground. The buildings are made of wood, with a concrete ground floor and the interior covered with various patterned tiles, while the walls support a wooden lattice upper section, leading to a three-tiered roof capped by a dome, all decorated with intricate metalwork. 

The smaller hall to the east was built in the same style as the larger one but is more intricately designed, featuring a five-tier roof (excluding the dome and royal umbrella). This hall, known as "Ahoeng Kham" in the Tai Yai language, translates to "guest reception." Its construction took two years and utilized construction materials such as colored glass and floor tiles from Myanmar.

The meditation pavilion, a beautiful wooden structure with a corrugated iron roof, is adorned with intricate metal cutouts and represents a classic Tai Yai style built during the Rattanakosin era. It has been officially registered as an ancient monument by the Fine Arts Department. 

The new ubosot (ordination hall) was designed in a style combining Tai Yai architecture with Burmese influences. The structure is made of concrete with a multi-tiered roof covered in decorative tile and metalwork details. For more information, please contact 0 5361 2003.

Wat Hua Wiang

วัดหัวเวียง

瓦帕希尔寺建于公元1863年，是梅洪顺省的第二座寺庙。"瓦帕希尔"意为“城市的中心”。据说瓦帕希尔寺的第一座建筑曾拥有七座讲经堂，但到了公元1972年，这七座讲经堂全部被拆除，取而代之的是一座现代化的讲经堂，直到今天仍在使用。瓦帕希尔寺不仅是梅洪顺的中心，同时也为公众提供了许多服务，例如作为地方选举、市议会、州议会和国会议员的投票站，每月还是当地童子军的聚集地，甚至是地区及外省的僧伽会议的常设场所。

寺庙内的亮点之一是五尊佛像，其中中央的一尊是最大的，面朝东面，造于公元1863年。前面两尊佛像同样面朝东，而三尊较小的佛像则排列在北边，另外两尊佛像位于南边，其中一尊面朝北。璐拉干佛堂是为了安置模拟自缅甸曼德勒的璐拉干佛像而建，该佛像是由宗波雅和宗望纳前往邀请的，全部由九部分铸造而成，通过河流运输到达，最后在卧佛寺组装后安置于瓦帕希尔寺。梅洪顺的人民视璐拉干佛像为与城市命运相连的重要佛像。

寺内有两座塔式佛堂，其中较大的一座为正方形，底边长约1.85米，高约15米，建筑用木材建成，地下为混凝土，内部铺设各种花砖，混凝土墙与木框架顶部结合，屋顶为三层结构，最顶层呈穹顶状，用镀锌铁皮覆盖并装饰镀锌铁花纹。而位于东侧的小佛堂则与大佛堂建筑风格相同，推测它与大佛堂同时建造，设计更加精致，屋顶为五层，不包括穹顶和伞顶，建筑宽6.4米，长8.3米，在泰语中称小佛堂为“阿赫永卡”，意指“接待客人”。这座佛堂花费了两年时间建造，建筑材料主要来自缅甸，包括彩色镀锌铁和地砖。

另有一座木结构的禅修堂，屋顶为镀锌铁，其设计突显了美丽的锻造工艺，是泰民族风格的古典木构建筑，属于拉达那哥辛王朝时期，并已被文化部列为古迹。

新建的乌波寺则融合了泰文化与缅甸建筑风格，系一座高层的混凝土结构，屋顶由装饰花砖铺成，并带有镀锌铁的雕刻装饰。欲了解更多信息，请致电 0 5361 2003。

华威寺

เป็นวัดที่อยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไม่ไกลจากสนามบิน และพระธาตุดอยกองมู เป็นวัดสำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ติดหนองจองคำ บรรยากาศดีเงียบสงบเป็นวัดศิลปพม่า

วัดจองคำหรือพระอารามหลวงวัดจองคำ เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2340 เป็นวัดแรกของเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นวัดเก่าแก่สร้างตามแบบอย่างศิลปไทยใหญ่ สิ่งที่โดดเด่นหลังคาทรงประสาท 9 ชั้น และมีศาสนสถานที่สำคัญคือ วิหารหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของแม่ฮ่องสอน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2477 โดยช่างชาวพม่า ในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อโตซึ่งเป็นพระประธาน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2469 โดยช่างฝีมือชาวพม่า และมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ซึ่งจำลองมาจากพระศรีศากยมุนีที่วิหารวัดสุทัศน์เหตุที่เรียกชื่อวัดจองคำเนื่องจากเสาวัดประดับด้วยทองคำเปลว

The temple is located in the city of Mae Hong Son, not far from the airport, and is known as Phra That Doi Kong Mu. It is an important temple in the Mae Hong Son province, situated next to Nong Jong Kham, offering a peaceful and serene atmosphere, characterized by Burmese architectural style.

Wat Jong Kham, or the Royal Temple of Wat Jong Kham, was established in the year 1797, making it the first temple in Mae Hong Son. This ancient structure is built in the style of Tai Yai architecture. A standout feature is its nine-tiered spire, and it houses a significant religious site: the Luang Phor Toh chapel, which enshrines the largest Buddha statue in Mae Hong Son. This statue was created in 1934 by Burmese craftsmen. Inside the chapel, the statue of Luang Phor Toh serves as the principal Buddha image, crafted in 1926 by skilled Burmese artisans. Notably, there is also a large Buddha statue modeled after Phra Si Sakayamuni from the chapel of Wat Suthat. The temple is named "Jong Kham" because it is adorned with gold leaf.

Wat Chong Kham, Wat Chong Klang

วัดจองคำ วัดจองกลาง

这是一座位于梅兰山城市中心的寺庙，距离机场不远，坤戈姆山佛塔是梅兰山省的重要寺庙，靠近孔章湖，环境安静宜人，展现了缅甸风格的艺术特色。

宗宗寺，或称为宗宗皇家寺院，是在公元1780年建成的梅兰山第一座寺庙，是一座古老的寺庙，按照泰缅风格建造。它最显著的特点是九层的宫殿式屋顶，重要的宗教场所包括大佛殿，这是梅兰山最大的佛像，由缅甸工匠在公元1934年建成。大佛殿供奉的主佛是于公元1926年由缅甸技工打造的， 还有一尊大型佛像，它是从苏塔升华寺的斯里释迦牟尼佛像仿制而来。之所以叫做宗宗寺，是因为其装饰着金箔的柱子。

Wat Chong Kham、Wat Chong Klang

ถนนคนเดินเล็กๆ ที่นี่มีอาหารพื้นเมือง เสื้อผ้า เครื่องประดับ และของที่ระลึกให้เลือกซื้อเป็นของฝากกลับบ้าน โดยมีชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งร้านให้นักท่องเที่ยวได้จับจ่ายกันอย่างคึกคักเลย ซึ่งในหน้าหนาวก็จะเปิดขายกันทุกวันไม่มีหยุด (15 ต.ค. - 15 มี.ค.) แต่หากเป็นหน้าร้อนก็เปิดเฉพาะวันศุกร์เสาร์เท่านั้น

This quaint little walking street offers a variety of local food, clothing, jewelry, and souvenirs that make perfect gifts to take home. Local residents and vendors set up their stalls, creating a vibrant shopping atmosphere for tourists. During the winter season, the market operates daily without any breaks (from October 15 to March 15). However, in the summer, it is only open on Fridays and Saturdays.

Mae Hong Son Walking Street

ถนนคนเดินแม่ฮ่องสอน

这里有一条小小的步行街，出售当地美食、衣物、饰品和纪念品，供游客选购作为伴手礼。当地居民和商贩们热情地在这里开设摊位，吸引着众多游客前来消费。在冬季，这里每天都开门营业，没有休息（从10月15日到3月15日），而在夏季则只在周五和周六开放。

夜丰颂步行街

Day1 ไปแม่ฮ่องสอน ไปตามหาทองคำกับจิ่งนะ

บริเวณด้านหน้าวัดจุฬาภรณ์วนาราม มีซุ้มไผ่เป็นอุโมงค์ไผ่ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่เอียงเข้าหากันระหว่างทางเดินมีความยาวประมาณ 800 เมตร สองข้างทางจะเป็นต้นไม้ไผ่สูง ยาว จนโค้งกลายเป็นอุโมงค์ทางเดินสุดร่มรื่น และเกิดเป็นอุโมงค์ไผ่สีเขียวขจี ที่สวยงาม 

โดยเฉพาะใครที่ไปในช่วงแดดร่ม ลมตก จะเห็นแสงแดดของดวงอาทิตย์ ลอดผ่านต้นไผ่ลงมา คล้านกับแสงแฟร์ ทำให้ ถ่ายรูปได้สวยงามอีกแบบหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนมักจะบอกกันว่าคล้ายกับป่าไผ่อาราชิยาม่าที่ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นจุดที่เหมาะกับการมาเดินเล่นพักผ่อน ได้นั่งพักเมื่อมาถึงแล้วก็สามารถเข้าไปไหว้พระที่วัดและทำบุญจุฬาภณ์วนารามได้อีกด้วย

In front of Wat Chulaphorn Wanaram, there is a naturally occurring bamboo archway that forms a stunning bamboo tunnel. This impressive structure stretches approximately 800 meters, with tall bamboo trees on either side leaning towards each other, creating a lush, shaded pathway that resembles a vibrant green tunnel.

Especially during the afternoons when the sun is gentle and the breeze is soft, you can witness beautiful sunlight filtering through the bamboo, resembling fairy lights. This makes for perfect photography opportunities. Many tourists often remark that the scene is reminiscent of the famous Arashiyama Bamboo Grove in Japan. It is indeed an ideal spot for a leisurely stroll and relaxation. Upon arrival, visitors can take a rest and then proceed to pay their respects at the temple while making merit at Wat Chulaphorn Wanaram.

Chulabhorn Wanaram Temple (Bamboo Arch)

วัดจุฬาภรณ์วนาราม (ซุ้มต้นไผ่)

在朱拉帕宏沃那拉姆寺前面，有一条自然形成的竹林隧道，倾斜的竹子在步道上交错，长度大约为800米。两旁是高耸的竹子，长长的竹子交叉形成一个凉爽的步道，形成一道美丽的绿色竹隧道。

尤其是在阳光明媚、微风轻拂的时刻，阳光透过竹子洒下，宛如闪烁的光线，这样拍出来的照片特别美丽。许多游客常常会提到，这里让人想起日本的嵐山竹林。这里是一个适合散步和休闲的地方，游客可以在游览后休息片刻，也可以前往寺庙敬拜并参与朱拉帕宏沃那拉姆的慈善活动。

Chulabhorn Wanaram 寺（竹拱门）

วัดมณวงศ์

น้ำตกสาริกา เป็นน้ำตกในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตั้งอยู่ หมู่ที่ 3 ต.สาริกา อ.เมืองนครนายก เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ไหลตกจากหน้าผาสูง ทั้งหมดถึง 9 ชั้น โดยผาที่สูงที่สุดประมาณ 200 เมตร ในแต่ละชั้นจะมีชั้นหินธรรมชาติรองรับน้ำและกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็ก ๆ อยู่ทั่วบริเวณชั้นของน้ำตก 

บริเวณใกล้เคียงกันมียังมี "ถ้ำสาริกา" เป็นสถานที่ที่ อาจารย์มั่น ภูริฑตฺโต เคยมาบำเพ็ญธรรม ส่วนทางขึ้น น้ำตกสาริกา จะมีศาล เจ้าพ่อปลัดจ่าง และ เจ้าแม่สาริกา ที่ชาวนครนายกและคนทั่วไปให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ก่อนเดินทางขึ้น น้ำตกสาริกา จึงควรแวะไหว้เพื่อเป็นศิริมงคล

Sarik Waterfall is located in Khao Yai National Park, in Moo 3, Sarika Sub-district, Mueang Nakhon Nayok District. This impressive waterfall cascades down a steep cliff in nine tiers, with the highest drop reaching approximately 200 meters. Each tier features natural rock formations that create small pools of water, enhancing the beauty of the surrounding area.

Nearby, you can also find "Sarik Cave," a site where the revered monk Ajahn Mun Bhuridatta once engaged in meditation. On the way to Sarik Waterfall, there are shrines dedicated to the spirit of Phra Pha-lat-Jang and Lady Sarika, both of whom are highly respected by the local people and visitors alike. It is advisable to stop and pay respects at these shrines before embarking on your journey to Sarik Waterfall, as it is considered a blessing for your travels.

Sarika Waterfall

น้ำตกสาริกา

萨里卡瀑布位于岜士国家公园内，具体位置是春发县萨里卡区的第3村，是一座大型瀑布，水流从高达200米的悬崖上倾泻而下，共有9个层次。每一层的天然岩石形成了小水潭，散布在瀑布的各个层级，形成了一个美丽的自然景观。

在附近还有“萨里卡洞”，这是阿姜曼·普里达托曾经修行的地方。为了前往萨里卡瀑布，游客们会路过供奉杰察甲和萨里卡女神的庙宇，这些神灵在那空县及周边地区受到人们的崇敬和信仰。因此，在前往萨里卡瀑布之前，建议先在庙宇里参拜，以祈求吉祥和好运。

TripNiceDay

ราชชะบุรี

การจะนะบูลี่

Day2 ไปแม่ฮ่องสอน ไปตามหาทองคำกับจิ่งนะ

Day1 ไปแม่ฮ่องสอน ไปตามหาทองคำกับจิ่งนะ

นครนาโย้ก

该用户尚未创建任何照片

该用户尚未创建任何地点

该用户尚未创建任何博客