พ่อเป็นคนชอบขับรถท่องเที่ยวมาแต่ไหนแต่ไร
ช่วงบ่ายของวันหนึ่งในเดือนที่อากาศร้อนระอุ เรามีโอกาสได้เปิดอัลบั้มรูปถ่ายเก่าๆ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของที่บ้าน แต่ละกล่องแฟ้มข้อมูลถูกตั้งชื่อด้วยวันที่ และสถานที่ที่ไปอย่างเป็นระเบียบโดยพ่อของเราเอง ในนั้นบันทึกตัวเราในแบบที่แตกต่างกันออกไป เติบโตขึ้นทีละน้อย การแต่งกาย สถานที่ที่เป็นพื้นหลัง สีของท้องฟ้า ดอกไม้จากแต่ละพื้นถิ่น กระเป๋าใบโปรดของแม่ในช่วงเวลาหนึ่ง รองเท้าผ้าใบสีครีมคู่เก่งของเราที่ถูกใช้งานมาอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาสิบปี สีผมของอาม่า รวมถึงริ้วรอยบนหน้าของพ่อและแม่
พ่อจะถ่ายรูปที่มีคนในครอบครัวอยู่เป็นส่วนมาก เน้นมนุษย์เป็นองค์ประกอบหลัก ส่วนทิวทัศน์รอบข้างเป็นองค์ประกอบรอง รูปถ่ายวิวเปล่าๆ ก็ค่อนข้างน้อยเช่นกัน และแล้วก็มีแฟ้มข้อมูลหนึ่งที่สะดุดตาเราจนอยากหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง มันไม่ใช่อัลบั้มที่มีภาพทิวทัศน์มากกว่าภาพอื่นแต่อย่างใด ยังคงมีคนเป็นตัวเอกเหมือนเช่นเดิม
เพียงแต่ทริปนี้ พ่อใส่เสื้อสีแสด
ฉากหลังเป็นต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ทิวเขาลำเนาไพร ต้นไม้สูงใหญ่เรียงรายสลับซับซ้อน และสีเสื้อโปโลของพ่อก็ตัดกับฉากหลังนั้นได้อย่างน่ารักน่าชังดี ที่สำคัญคือมันค่อนข้างดูแปลกตา เพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นพ่อใส่เสื้อสีแสบสันแบบนี้เท่าไหร่นัก รวมทั้งจังหวัดที่ไป ก็เป็นจังหวัดที่เราชื่นชอบบรรยากาศมากเป็นพิเศษ ด้วยความเงียบสงบ ศิลปะประณีตอ่อนช้อย และตัวสถาปัตยกรรมแบบที่ชื่นชอบเป็นพิเศษส่วนตัว เราเลยมานั่งไล่ดูทีละรูปอย่างตั้งอกตั้งใจ พร้อมพาตัวเองข้ามผ่านห้วงเวลานับสิบปีนั้นกลับไปหาพ่อในเสื้อสีแสดอีกครั้ง ที่แฟ้มข้อมูลชื่อ ‘51-น่าน พะเยา เชียงราย 10-14 ต.ค. 55’ (ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลคอมแพคของพ่อ)
ทั้งนี้ คงไม่สามารถนำรูปภาพพ่อในเสื้อสีแสดมาลงที่นี่ได้แต่อย่างใด เราคงจะกล่าวถึงสถานที่และการเดินทางเป็นส่วนใหญ่เสียมากกว่า เพียงบันทึกไว้ให้ตัวเองไม่ลืมความรู้สึกนึกคิดขณะพิมพ์เท่านั้น
51-น่าน พะเยา เชียงราย 10-14 ต.ค. 55
ด้วยความที่พ่อเป็นคนชอบขับรถเที่ยว เขาจึงตามหาเส้นทางที่มีทิวทัศน์รอบข้างสวยๆ เพื่อเดินทางไปเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ พร้อมพาแม่และเราไปด้วย ซึ่งเมื่อเครื่องบินแตะถึงพื้นเชียงราย เขาก็พาไปรับรถยนต์ที่เช่าไว้เป็นลำดับถัดไปทันที ก่อนออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
หลังใช้เวลาอยู่บนรถเช่าสีขาวนั่งสบายมาครู่ใหญ่ เราก็แวะจอดที่ ‘วัดนันตาราม’ เป็นแห่งแรก วิหารไม้สักทั้งหลังกลิ่นอายแบบสถาปัตยกรรมไทยใหญ่ผสมพม่าปรากฏอยู่ตรงหน้า หลังคาหน้าจั่วยกเป็นช่อชั้นลดหลั่นกันไปและมุงด้วยแป้นเกล็ด ไม้ฉลุลวดลายอ่อนช้อยอย่างประณีต โทนสีน้ำตาลเข้มทึมเทาสร้างบรรยากาศลึกลับโอบล้อมรอบตัวอย่างประหลาด เดินดูรอบบริเวณพักหนึ่งเราถึงก้าวเข้าชมด้านในของตัววิหาร
พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และเมื่อแหงนหน้ามองสูงขึ้นไป จะพบกับเพดานที่ถูกประดับประดาด้วยกระจกสี
อีกวัดขึ้นชื่อของเชียงคำ ที่ใช้เวลาเดินทางต่อมาไม่มากนักจากวัดนันตาราม คือ ‘วัดพระนั่งดิน’ ที่ไม่มีรูปถ่ายวัดเปล่าๆ ให้สามารถนำมาลงได้เลย และสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนอยากมาเยี่ยมชมวัดนี้สักครั้งคงเป็นเพราะพระประธานของที่นี่ไม่ได้ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีแต่อย่างใด ทว่ากลับอยู่บนพื้น โดยมีเรื่องเล่าว่าชาวบ้านพยายามจะอัญเชิญองค์พระประธานขึ้นวางบนฐานแล้ว แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถยกขึ้นได้เสียที ทำให้พระเจ้านั่งดินยังคงประดิษฐานอยู่บนพื้นจนถึงทุกวันนี้
ก่อนข้ามจากอำเภอเชียงคำไปสู่อำเภอปัว เราลัดเลาะไปตามหุบเขา เส้นทางวนเวียนซับซ้อนจนน่าเวียนหัว มีจอดแวะข้างทางบ้างประปราย ระยะนี้จะมีช่วงที่สามารถมองเห็นภูลังกาได้ เราเคยเห็นรูปตอนกำลังมีทะเลหมอกสีขาวอาบคลุมพื้นที่สีเขียวส่วนสูงลดหลั่นสลับซับซ้อนแห่งนี้ในวันที่ตัวเองโตขึ้นมาหน่อย แล้วก็คิดว่าถ้าได้มีโอกาสมาเห็นกับตาคงชื่นใจอยู่ไม่น้อย แต่ในทริปนี้เรายังไม่ได้มีเจตนานั้นอยู่ในความคิด เพียงผ่านแล้วแวะดูเท่านั้น
หมู่บ้านเก่าแก่ดั้งเดิมของชาวไทลื้อ ‘บ้านหนองบัว’ ในอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน เป็นจุดแวะจุดถัดมา กลุ่มคุณลุงชาวบ้านที่นั่นต้อนรับขับสู้พวกเราด้วยเสียงสะล้อ ซอ ซึง โดยเสียงเครื่องดนตรีพื้นบ้านยังคงลอยละล่องตามมาคลอเคลียข้างหูอยู่ แม้ว่าจะเคลื่อนย้ายร่างตัวเองมาสู่ตัวบ้านไม้ที่ใช้สำหรับจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้และบอกเล่าวิถีชีวิตของชาวไทลื้อที่สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 200 ปีแล้วก็ตาม และบริเวณด้านหน้าของหมู่บ้านยังมี ‘วัดหนองบัว’ ที่เต็มไปด้วยบันทึกในรูปแบบของศิลปกรรม เป็นจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ที่ถูกแต่งแต้มอยู่ภายในตัววิหาร รอคอยเวลาบอกเล่าวิถีชีวิตของชาวไทลื้อรวมถึงพระพุทธประวัติให้กับใครก็ตามที่เยี่ยมหน้าเข้าไปดูด้านใน
พ่อในเสื้อสีแสดที่ปรากฏตัวอยู่ทุกที่ในน่าน
เช้านี้อากาศค่อนข้างเย็นแม้จะยังอยู่ในช่วงฤดูฝน สังเกตจากเสื้อกันหนาวสีเทาตัวเก่าที่เราสวมใส่อยู่ในทุกรูป ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าอ่อน แต่งแต้มด้วยก้อนปุกปุยสีขาวเป็นหย่อมเล็กๆ ดูแล้วก็คิดว่าน่าจะอากาศดีไม่ใช่น้อย และอาจจะเป็นวันดีที่ทำให้พ่อได้ใส่เสื้อสีแสดยืนอยู่แทบทุกจุดสำคัญในจังหวัดน่าน ก่อนยืนตัวตรง ยิ้มกว้าง แม่กดชัตเตอร์ ได้รูปพ่อที่ยืนอยู่กลางเฟรมภาพด้วยอิริยาบถเดิม เพียงแต่เปลี่ยนฉากหลังไปเรื่อยๆ เริ่มต้นจากวัด ไปจนถึงท่ามกลางหุบเขาสีเขียว
โดยที่แรก คือ ‘วัดต้นแหลง’ วัดแบบไทลื้อในอำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นวิหารหลังคาลาดต่ำสามชั้นมุงด้วยแป้นเกล็ด รอบผนังวิหารเจาะหน้าต่างช่องเล็กจ้อยทำให้แสงแดดภายนอกไม่ค่อยได้มีโอกาสอาบไล้องค์พระพุทธรูปด้านในเท่าไหร่นัก
เมื่อมาภาคเหนือของไทย ก็จะเจอแต่หลังคามุงแป้นเกล็ดอย่างเป็นเอกลักษณ์ วิหาร ‘วัดพระธาตุเบ็งสกัด’ เองก็เช่นกัน และนอกจากที่นี่จะมีตัววิหารแล้ว ยังมีเจดีย์ตั้งอยู่ด้านหลังด้วย และเหมือนจะเชื่อกันว่าภายในเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอยู่
โทนสีน้ำตาลเข้มทึมๆ เทาๆ ของหลังคาไม้เรียกว่าดึงดูดสายตาเราอยู่มากสำหรับวัดแทบทุกที่ในทริปนี้ มันดูหม่นสบายตา บวกกับลวดลายฉลุอ่อนช้อยของสถาปัตยกรรมที่มักพบในทางตอนเหนือ ยิ่งทำให้เราละสายตาจากวิหารเก่าแก่ทุกแห่งได้อย่างยากเย็นพอสมควร
‘วัดร้องแง’ เองก็ยังคงงดงามตามแบบฉบับไทลื้อ และเราจ้องลวดลายเถาไม้บริเวณหน้าบันเป็นเวลาค่อนข้างนาน ด้วยความอ่อนช้อยประณีต บวกกับหลังคาคลุมต่ำที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษส่วนตัว ส่วนภายในตัววิหารมีพระประธานปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่
คุณลุงผู้ดูแลพาเราเดินชมรอบๆ พลางเล่าเรื่องในจิตรกรรมฝาผนังที่มีทั้งพระพุทธประวัติและชาดก พาชมธรรมาสน์บุษบก สัตตภัณฑ์และอีกหลายอย่างที่เราจำไม่ได้แล้วว่าคืออะไร ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเครื่องไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างประณีต
ดินถล่ม ถนนขาด อ้อมไปลอยฟ้าบนถนนสาย 1081
จากอำเภอปัวไปอำเภอบ่อเกลือแบบที่ไม่ต้องอ้อมคือถนนสาย 1256 แต่ก่อนออกเดินทางไม่นานก็เกิดดินถล่ม ไม่สามารถขับผ่านไปได้ ทำให้พ่อเปลี่ยนแพลนมาขับอ้อมผ่านถนนสาย 1081 แทน แต่ทั้งสองเส้นนี้ก็ถูกเรียกว่าถนนลอยฟ้าเหมือนกัน
มีพ่อในเสื้อโปโลสีแสดรูปหนึ่งที่หันหลังอยู่พอดี เลยเอามาลงแทรกไว้รูปหนึ่งเป็นที่ระลึก
เราแวะลงจากรถเพื่อถ่ายรูปกับถนนท่ามกลางแมกไม้สีเขียวและภูเขาตั้งเรียงรายระเกะระเกะอยู่เป็นระยะ เคยเห็นรูปภาพมากมายที่ถ่ายจากถนนลอยฟ้า ต้นไม้เขียวครึ้มเต็มสองข้างทาง หมอกสีขาวนวลตาห่มคลุมรอบบริเวณ แสงแรกของวันกระทบน้ำค้างบนยอดไม้ เส้นถนนคดโค้งลึกลับเหมือนลอยอยู่ในก้อนเมฆนุ่มฟู
แต่ในทริปนี้ เรามาในช่วงแดดจัด เวลาบ่ายโมงครึ่ง ดูได้จากในภาพ ‘11/10/2012 13:25’
เมื่อถึงอำเภอบ่อเกลือ เราก็แวะบ่อเกลือสินเธาว์โบราณ เกลือสินเธาว์เป็นเกลือที่ได้จากแร่เกลือในดิน โดยในไทยมีบ่อเกลือไม่มากนัก และแอ่งบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ก็เป็นหนึ่งในนั้น เราเดินเลียบเรื่อยผ่านมาบริเวณด้านหลัง พบกับลำน้ำใสแจ๋วสายเล็ก บรรยากาศดี น่านั่งเล่นพักผ่อน เราจมจ่อมอยู่กับธรรมชาติพลางสูดอากาศบริสุทธิ์ครู่ใหญ่ก่อนออกเดินทางต่อไปสู่ที่พัก
รอบบริเวณของที่พักเต็มไปด้วยสีเขียวของแมกไม้ ร่มรื่น เหมือนอยู่ในสวนป่า บรรยากาศดีน่านั่งพักผ่อน แถมมองเห็นลำธารที่อยู่ด้านหลังของรีสอร์ทได้
เราเดินลงไปดูบริเวณแหล่งน้ำ มองรอบตัวแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จนเต็มปอด อากาศบริสุทธิ์จนอยากนั่งพักอยู่นานๆ ทอดมองสายน้ำไหลผ่านก้อนหินเกลี้ยงมน ยอดไม้สีเขียวไหวเอนจากสายลม สบายตาแบบที่แค่นั่งมองดูรูปก็ยังรู้สึกถึงได้ถึงสัมผัสของสายน้ำเย็นที่ไล้เลียปลายเท้า
นั่งทานอาหารเช้าท่ามกลางสายหมอกที่ บ่อเกลือ วิว รีสอร์ท
ตอนที่เดินมาตักบุฟเฟต์สุดอลังการที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ เรียกว่าเจอหมอกเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
ที่นี่มีอาหารอร่อยหลากหลายให้เลือก แถมเติมกาแฟสดได้ไม่อั้น ซึ่งอันนี้พ่อชอบมากเป็นพิเศษ ยิ่งตอนนั้นไม่ค่อยมีลูกค้าคนอื่น ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของโลกทั้งใบเลย ถึงจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่ความรู้สึกยามที่เราเป็นเพียงผู้เดียวในสนามแห่งการแก่งแย่งอย่างบุฟเฟต์นั้นมันยิ่งใหญ่เพียงไหน สายกินน่าจะเข้าใจกันเป็นอย่างดี แถมยังมีโอกาสได้พูดคุยกับพนักงาน ’อีกสองวันจะมีกองถ่ายหนังมา’ เธอกล่าว ก่อนเสริมต่อว่ากองถ่ายหนังกองนั้นจองไว้ทั้งรีสอร์ท พอได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจที่พ่อวางแพลนไว้เป็นวันนี้ ถ้าล่าช้าไปอีกนิดเดียว อาจได้จองห้องพักของที่อื่นแทน แล้วอดได้กินมื้อใหญ่
หลังเช็คเอาท์ เราออกเดินทางย้อนกลับ ผ่านถนนลอยฟ้าเส้นเดิม ลดเลี้ยวไปมาจนเวียนหัวเล็กน้อย มีทิวเขาสลับซับซ้อนและเส้นทางที่เหมือนมุ่งหน้าขึ้นสู่ปุยเมฆนุ่มนิ่มเช่นเคย แต่ก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ด้วยเหตุผลหลายประการที่ทับซ้อนกันอยู่เพียงแต่ไม่สามารถแยกแยะได้ อาจเป็นที่ถนน ต้นไม้ ภูเขา ท้องฟ้า หรือสีเสื้อของพ่อที่วันนี้ไม่ใช่สีแสดแล้ว
มาถึงอำเภอเมืองน่าน เราก็มุ่งหน้าไปเยี่ยมภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเลื่องชื่อที่ ‘วัดภูมินทร์’ โดยวัดนี้ค่อนข้างผิดแผกจากวัดอื่น ตรงที่ตัวอาคารเป็นทั้งวิหารและอุโบสถ มีประตู 4 ทิศ และพระพุทธรูปใหญ่ 4 องค์ ที่ประดิษฐานอยู่ด้านในโดยแต่ละองค์หันหน้าออกไปทางประตูแต่ละบาน
จิตรกรรมฝาผนังด้านในปรากฏพุทธประวัติ ชาดก วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวน่านในสมัยก่อน เราเดินชมรอบๆ โดยมีมัคคุเทศก์เยาวชนประมาณ 4-5 คน คอยบอกเล่าเรื่องราวในภาพแต่ละจุด
มัคคุเทศก์รุ่นเยาว์อธิบายด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงฉะฉาน เคล้าคลอด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจของเหล่านักท่องเที่ยวอีกหลายกลุ่ม จัดว่าที่นี่ฮอตมากทีเดียว ถ้าเทียบกับจุดอื่นที่เรียกว่าร้างนักท่องเที่ยวในช่วงหน้าฝนแบบนี้
พอฟังไปฟังมา เราก็ได้รู้ว่านี่คือภาพโมนาลิซาเมืองน่าน เป็นหญิงสาวกำลังมวยผม ก่อนประดับด้วยดอกไม้ขนาดพอเหมาะกำลังดี หญิงสาวผู้นี้เปลือยอก มัคคุเทศก์ประจำจุดแจงส่วนสำคัญ นั่นหมายถึงเธอเป็นหญิงโสด และอีกภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด คือภาพปู่ม่านย่าม่าน
ภาพปู่ม่านย่าม่าน เป็นภาพชายที่กำลังป้องปากกระซิบกระซาบข้างหูของผู้หญิง โดย ม่านคือพม่า ปู่คือผู้ชาย ง่าคือผู้หญิง แต่ออกเสียงเพี้ยนมาเป็นย่า พ่อซื้อเสื้อมาหนึ่งตัวจากแถวหน้าวัด เป็นเสื้อที่สกรีนลายภาพนี้เหมือนกัน กล่าวว่าเก็บไว้เป็นของที่ระลึก ปัจจุบันพ่อมีเสื้อสกรีนลายซิกเนเจอร์ของแต่ละพื้นถิ่นทั้งไทยและเทศแบบเป็นกองพะเนินเทินทึกไปแล้ว
ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์ มี ‘พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน’ ตั้งอยู่ โดยเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และชาติพันธุ์ประจำจังหวัด ซึ่งตัวอาคารเคยเป็นหอคำของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ มาก่อน ตั้งอยู่ในบริเวณคุ้มของอดีตเจ้าผู้ครองนครน่าน ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร และได้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์มาจนถึงวันนี้ แต่เหมือนว่าจะมีการปรับปรุงตัวอาคารใหม่ ตอนนี้กลายเป็นสีเหลืองอ่อนไปเสียแล้ว
อีกจุดน่าสนใจในบริเวณใกล้กันนั้น มีทางเดินที่ปกคลุมด้วยซุ้มลีลาวดีเรียงแถวยาวตลอดเส้นทาง ยอดไม้ด้านบนโน้มเอียงเข้าหากันจนเป็นอุโมงค์สีเขียวตัดขาว และเวลาเดินผ่านซุ้มต้นไม้แบบนี้ เราก็ชอบนึกถึงโตโตโร่ไปเสียทุกที
เขาบอกว่ามีคนร้ายอยู่ในนี้
มีเรื่องผิดแผกไปจากวันอื่นนิดหน่อยสำหรับเช้าวันที่ 4 เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนเช็คเอาท์ออกจากที่พักเปิดใหม่แห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน มีตำรวจ 3-4 นายตบเท้ากันเข้ามาภายในบริเวณของรีสอร์ท บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ทั้งพนักงานและลูกค้าท่านหนึ่ง เราทราบเหตุการณ์ในภายหลังว่ามีคนมาขโมยของในห้องของลูกค้าท่านนั้น ส่วนครอบครัวเราก็รับบทชาวบ้าน 1 ชาวบ้าน 2 ยืนมองดูด้วยความสงสัยใครรู้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินดุ่มแบกกระเป๋ากันออกไป เมื่อพบว่าไม่มีอะไรให้สามารถสอดรู้สอดเห็นไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
หลังรับบทไทยมุง เราก็เดินทางย้อนกลับมาที่พะเยา และเมื่อถึง ‘กว้านพะเยา’ เราก็ลงไปเดินชมวิวรอบๆ
วันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้ม มีเมฆมาก พอสะท้อนกับท้องน้ำจนกลายเป็นสีเดียวกันแล้วยิ่งรู้สึกเหงาๆ ชอบกล เราแวะกินบะหมี่ในร้านข้างกว้าน มองออกไปเห็นวิวผืนน้ำจรดทิวเขาสีจางไกลๆ หลังจากนั้นเราแวะเข้าไปไหว้พระในวัดอีกประมาณ 2 ที่ แล้วออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงราย
มาถึงอำเภอเมืองเชียงรายในช่วงค่ำ ทานอาหารเหนือในร้านที่คนแน่นขนัด ก่อนมาเดินเล่นที่ตลาดเชียงรายไนท์บาซาร์ ที่มีทั้งของกินเล่น ของฝากกระจุกกระจิก สินค้าพื้นเมือง ส่วนวันที่เราไปไม่แน่ใจว่ามีงานอะไร ชาวบ้านตั้งแต่วัยหนุ่มสาวไปจนถึงรุ่นคุณตาคุณยายต่างรำวงล้อมกันเป็นวงใหญ่ตามจังหวะเสียงดนตรีพื้นบ้าน บรรยากาศคึกคักครื้นเครงดี จากนั้นเราเดินออกมาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ อีกนิดหน่อยก่อนจะกลับไปพักผ่อน
วันสุดท้ายเราขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของดอยแม่สลอง ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ที่ ‘พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี’ ซึ่งเป็นเจดีย์แบบล้านนาประยุกต์ และเมื่อมองลงไปจะเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสีเขียวอ่อนพาดทับสีเขียวเข้มสลับกันไปมา มีบ้านเรือนกระจุกรวมตัวกันอยู่เป็นหย่อมๆ
เดินทางต่อมาที่ ‘ไร่ชา 101’ เป็นไร่ชาสีเขียวกว้างไกลสุดลูกตาจรดกับทิวเขา วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีเทาจาง มวลละอองน้ำน่าจะกำลังอยู่ในช่วงควบรวม รอเวลากลายร่างเป็นหยดน้ำร่วงลงมาใส่กลางหัวเรา ดังนั้นก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น เราจึงตาลีตาลานเดินวนรอบไร่ไปมาเหมือนแมวที่กำลังเดินหางฟูเมื่อรู้สึกได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา
นอกจากนั้น ในส่วนของร้านขายชาของไร่ มีพี่ผู้หญิงเชิญชวนให้ชิมชาที่เธอเพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ ลองชิมแล้ว กลิ่นหอมกำลังดีเลย
จบลงที่รูปเรากับแม่ยืนอยู่ท่ามกลางไร่ชา เป็นภาพสุดท้ายภายในแฟ้มข้อมูล ลงวันที่ 14/10/2012 เวลา 16:01 โดยมีพ่อเป็นคนถ่าย
จากวันเดือนปีที่ปรากฏอยู่บนรูปถ่ายจนถึงปัจจุบันนี้ มีระยะห่างถึงเกือบ 9 ปี สถานที่เหล่านี้ก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อย นอกจากนั้น มองดูแล้วก็คล้ายกับว่าอะไรก็ตามที่อยู่ในบทความนี้ (รวมทั้งที่เกิดขึ้นภายในหัวของเราเองขณะเรียบเรียงอยู่ด้วย) เหมือนได้ข้ามผ่านกาลเวลามาสู่ปี 2021 เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อที่ยังคงขับรถเที่ยวอยู่บ่อยๆ แม่ที่ยังคงชอบใส่ต่างหูห่วงใหญ่สีเงิน เราที่ยังคงยิ้มกว้างได้เหมือนโลกใบนี้ไม่มีอะไรยากเกินไป และเสื้อสีแสดของพ่อ
สำหรับการขุดทริปเก่าๆ แบบนี้ขึ้นมา เรารู้สึกว่าน่าสนุกดีเวลาอยากจะตามรอยมันอีกครั้ง เพราะบางที่เราก็เคยทำตกหล่นไปในคราวนั้นอย่างไม่รู้สึกรู้สา หรือบางสถานที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลา ที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ตอนเราเห็นว่าสีอาคารมันคนละสีเลยก็รู้สึกงงๆ อยู่ไม่น้อย นอกจากนั้นเส้นทางก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือเปล่า มีถนนสายที่เดินทางสะดวกกว่าหรือไม่
และถ้ามีโอกาสได้ไปอีกครั้งมันจะแตกต่างจากเดิมได้มากน้อยแค่ไหน?