ถ้าจะหาที่เที่ยวในเมืองสักที่ ที่สามารถใช้เวลาได้ทั้งวันแต่ได้ครบทุกบรรยากาศจะไปที่ไหนได้บ้างนะ? ถ้าอยากจะดื่มกาแฟ ไหว้พระ ถ่ายรูป เดินเล่นริมน้ำ หรือดูศิลปะ แถมได้ความรู้สึกของความเก่าแก่แต่ไม่ต้องออกจากเมือง เราจะไปที่ไหนได้บ้าง? คำตอบที่ได้มาจากเพื่อนก็คือ เจริญกรุง
สวัสดียามเช้าที่เจริญกรุง วันนี้ฉันจะใช้เวลาอยู่กับพวกเธอทั้งวัน!!
มื้อแรกของวันเป็นมื้อสำคัญเพราะงั้นฉันขอเปิดตัวด้วยมื้อเช้าที่อยากให้ทุกคนมากิน!! (จะมื้อไหนก็มาเถอะ ต้องมานะ!) ถ้าใครมาเจริญกรุงฉันอยากให้ทุกคนได้มากินร้านนี้ ร้านก๋วยเตี๋ยวรู
ทุกคนอาจจะคิดว่าก็ร้านก๋วยเตี๋ยวทำไมต้องมา แสดงว่าเธอยังไม่เคยได้มากินร้านนี้ ยังไม่เคยได้ชิมหมูแดงอบน้ำผึ้งของเขาาาา
จะบะหมี่แห้งก็ดี บะหมี่น้ำก็ปัง ขนาดแค่เกี๊ยวทอดที่ดูธรรมดา ๆ แต่พอได้น้ำหมูแดงของร้านมาจิ้มก็ทำให้มื้อแรกของวันเป็นวันที่เปิดตัวได้อย่างดีมาก ๆ !!
กินอิ่มแล้วก็เดินย้อนกลับมาที่ซอย เจริญกรุง 24 เช้า ๆ แบบนี้นอกจากข้าวแล้วร่างกายฉันคงต้องการคาเฟอีนสักแก้วกับวิวดี ๆ ที่ตั้งใจออกตามหา ร้านแรกที่เราจะไปก็คือ ร้าน House of Commons - BookCafe & Space
HOC Cafe เป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่แอบอยู่ตรงปลายสะพานพิทยเสถียร นอกจากกาแฟอร่อย ๆ ในราคาน่ารักแล้วที่นี่ยังมีร้านหนังสือที่ซ่อนอยู่ด้านหลังด้วย!
ซึ่งร้านหนังสือที่นี่ก็เป็นร้านหนังสือเล็ก ๆ น่ารักเหมือนเป็นห้องสะสมมากกว่า ถ้าใครสนใจก็สอบถามพนักงานได้เลยเพราะร้านอยู่ทางด้านหลัง ลองถามดูได้นะคับ!
แถมให้อีกรูปก่อนกลับ ถ่ายผ่านกระจกไปที่มุมข้างร้าน รับกับแสงยามเช้าได้ดีมาก ๆ !
ถ้าคนที่เคยมาก็จะรู้ตัวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วปากซอย เจริญกรุง 24 มีมุมดี ๆ สำหรับสายถ่ายภาพ สายสตรีท ก็คือหน้าตึก หนังสือพิมพ์ ซิงฮงเฮี้ยน
เราเลยตัดสินใจเริ่มเดินทางต่อโดยใช้ซอยนี้เป็นจุดตั้งต้น ซึ่งในซอยนี้มีร้านและแกลลอรี่น่าสนใจอยู่ 2-3 ร้านแต่น่าเสียดายที่เขาปิดวันอังคาร ก็เลย..อด
เดินต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงถนนโยธา 1 ก็จะเริ่มมองเห็นวงเวียนชุมชนตลาดน้อยที่น้อยสมชื่อ เป็นเหมือนแหล่งรวมร้านค้าริมถนนมากกว่า ก็จะมีร้านผัก ผลไม้ และร้านอาหารเล็ก ๆ ตั้งขายเพื่อซื้อกลับบ้านหรือไปทำงานต่อเรียงอยู่บริเวณรอบ ๆ
ซึ่งถ้าเดินมาเจอเสาต้นนี้ก็คืนพ้นสุดเขตชุมชนแล้ว XD
เดินตรงมาเรื่อย ๆ ทางขวามือจะมีป้ายเขียนว่า ซอยแฟลตทรัพย์สิน แล้วถ้ามองงดี ๆ ก็จะเห็นป้ายร้านอยู่ข้างหลัง เห็นมั้ย ๆ ที่เขียนว่า patina นั่นก็คือเป้าหมายต่อไปของเรา!
ร้าน patina จะเป็นคาเฟ่ที่ตกแต่งด้วยสไตล์จีน ๆ วินเทจ ๆ ไม่ว่าจะผนัง โต๊ะ เก้าอี้ บันไดก็จะให้ความรู้สึกย้อนยุค โบราณ แต่ว่าอาหารของเขาไม่โบราณนะ !
อย่างเมนูที่สั่งก็เป็น เอแคลร์ รสวนิลา กับ ช็อคโกแลต ราคา 200 บาท (ถ้าซื้อแยกจะตกชื้นละ 140 บาท) ส่วนน้ำก็เป็น Butterfly Linn ราคา 100 บาท เป็นน้ำอิตาเลียนโซดาที่ใช้ไซรัปอัญชัน+มะลิ ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นแบบไทย ๆ มาที่เดียวได้ถึง 3 สัญชาติ!!
ออกจากร้านมาที่ถนนเส้นเดิมเดินไปไม่ถึงสิบก้าวก็จะเจอตรอกทางซ้ายมือ ที่นี่น่าจะเรียกว่าเป็นจุดไฮไลท์ของเจริญกรุงเลยก็ได้ กับตรอกนี้ ตรอกศาลเจ้าโรงเกือก
ยังไม่ทันเดินเข้าไปก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมตรงนี้ถึงเป็นจุดไฮไลต์ของย่านนี้ ท่ามกลางความวินเทจของทุกที่ที่ได้เดินผ่านมา กลับมาเจอตรอกเล็ก ๆ ที่ซ่อนความเป็นศิลปะของคนยุคปัจจุบันที่ถ่ายทอดออกมาเป็นรูปวาด และรูปภาพตามฝาผนัง
ถ้าเสิร์จหาคำว่าเจริญกรุงอาจจะได้เห็นร้านนี้ผ่านตามาบ้าง Mother Roaster ซึ่งร้านก็อยู่ในตรอกนี้แหละ! เสน่ห์ของร้านนี้นอกจากกาแฟที่เขาแนะนำก็เป็นทางเข้าชั้น 1 จะมีเศษเหล็กเก่า ๆ วางเต็มไปหมด หลายคนชอบมาถ่ายรูปมาก แต่เราไม่ได้เข้าไปหรอกนะ แค่ผ่านมาเฉย ๆ 5555555555
เดินตรงเข้ามาจนเกือบสุดทางจะเห็นประตูเข้าศาลเจ้าโรงเกือก ตรงนี้ก็เป็นจุดที่หลายคนมาถ่ายรูปเหมือนกันนะ โดยเฉพาะกับเจ้าปลาคู่รักสองตัวนี้ ในศาลเจ้ายังไม่เว้นเลยนะ!
เดินจนเที่ยงจนบ่ายแต่ฟ้าดันสีไม่ค่อยสดใสเลยตัดสินใจข้ามทริปมาที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร
แต่ฉันเหมือนเกิดมาเพื่อมีดวงเรื่องกินอย่างเดียว วันที่ไปมีสอบสามเณรก็เลยเดินซี้ซั้วไม่ได้เลย เพราะงั้นก็เดินแค่ตรงที่ที่คนไม่เยอะเนอะ
โชคดีที่ย้ายที่ทัน เพราะถึงที่หมายไม่นานพี่ฝนก็ตกลงมาแบบไม่หยุด เพราะงั้นสถานที่สุดท้ายของวันนี้เราขอจบที่สถานีรถไฟหัวลำโพง
ถึงแม้ไม่มีธุระ ไม่ได้เดินทางไกลแต่สถานีรถไฟก็เป็นอีกที่ที่เราชอบมาก แค่มาถึงก็รู้สึกเหมือนได้เดินทางแล้ว 1 วันในเจริญกรุง เป็นการเดินทางที่ดีมาก ๆ แต่ละสถานที่ที่เราไปไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล ใช้เงินเยอะ หรือมีกิจกรรมมากมายให้ทำ บางครั้งการที่เราใช้เวลาเดินไปรอบ ๆ สถานที่ใดที่หนึ่งก็นับว่าเป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นที่สุดแล้ว แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้า 👋