พอนึกอยากจะไปเที่ยวในจังหวัดอยุธยา ก็จะนึกถึงวัดที่เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมให้เราได้ชื่นชม และเมื่อได้ไปก็อดที่จะนึกถึงละครที่ไม่ว่าใครก็รู้จักกันดีอย่างบุพเพสันนิวาสไม่ได้เลยจริง ๆ และถ้าหากใครจะพูดว่า
โห่! ละครจบไปตั้งนานแล้วทำไมยังจะมาเขียนเรื่องนี้อีก ก็เพราะว่ามันไม่เคยเก่าสำหรับเราเลยยังไงล่ะ
ทริปตามรอยละครดังที่ยังตราตรึงใจได้เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนนี่เอง โดยปกติช่วงนี้ฝนจะตกแทบจะทุกวัน แต่วันที่ออกเดินทาง โอ้โห! แดดนี้จ้าชนิดที่คิดว่าอยู่เดือนเมษาร้อนระอุกันเลยทีเดียว เหมือนเป็นใจให้เราได้ไปย้อยอดีตในวันนี้ โดยสถานที่แรกที่ไปคือ
๑. วัดพุทไธศวรรย์ ขับรถเข้ามาจอดในวัดสิ่งแรกที่ทำคือการเดินไปที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถามว่าไปทำอะไร ให้อาหารปลาเหรอเปล่าค่ะ เราเองก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรแค่รู้สึกว่ามันดึงดูดจนต้องไปดู
จบจากการทอดสายตามองแม่น้ำเจ้าพระยากับบ้านน้อยใหญ่ หันกลับมาภายในวัดจะพบกับพระราชอนุสรณ์แห่งการสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นพระบรมรูปขององค์สมเด็จตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวัดแห่งนี้จนถึงการสร้างถาวรวัตถุเพิ่มเติม
ภายในวัดมีต้นไม้น้อยใหญ่สลับกันไป มีกลิ่นของดินปืนจากประทัดที่ชาวบ้านนำมาแก้บนลอยเข้าจมูกจาง ๆ รู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงใจกลางของวัด มองเห็นกำแพงสีขาวไม่สูงมากนักไม่มีหน้าต่างหรือช่องอะไร มีเพียงประตูไม้เก่า ๆ
ที่เพียงก้าวขาเข้าไปก็ทำให้รู้สึกราวกับหลุดเข้าไปในอดีตได้จริง ๆ ทางเดินเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ริมกำแพงมีพระพุทธรูปจำนวนมากรายล้อมรอบทั้งด้านซ้ายและขวา ตรงกลางคือปรางค์ประธานองค์ใหญ่ศิลปะแบบขอมสีขาวตั้งเด่นตระหง่านอยู่ มีบันไดให้ขึ้น 2 ฝั่ง เป็นภาพที่สวยจนยากจะบรรยาย
เดินชมความงาม กราบไหว้พระพุทธรูปนับร้อยองค์แล้วมาเรื่อย ๆ จนสายตาไปสะดุดอยู่ที่ประตูไม้เก่าอีกหนึ่งบานตรงข้ามกันกับประตูไม้ทางเข้า
หากอยู่ในละครฉากนี้แม่การะเกดจะได้พบกับขุนเรือง สำนักอาจารย์ชีปะขาว แต่เราจะได้พบกับลานกว้าง มีอิฐสีน้ำตาลแดงวางเรียงไว้เป็นทางเดินเล็ก ๆ ตัดกับหย่อมหญ้าสีเขียวขจีมีลักษณะคล้ายใบโคลเวอร์ โดยทางด้านซ้ายมือมี เจดีย์เก่าแก่ 2 เจดีย์ตั้งเคียงคู่กัน และ ด้านซ้ายคือฐานของวัดที่โดยทำลายจากสงครามและกาลเวลา
๒. วัดไชยวัฒนารามเป็นวัดเก่าแก่และขึ้นชื่อของชาวอโยธยา รอบ ๆ ริมถนนจะมีร้านให้เช่าชุดไทยสำหรับถ่ายรูป จากที่เห็นราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 100 บาท โดยการที่จะเยี่ยมชมวัดจะต้องจ่ายค่าเข้าในอัตรา คนไทยราคา 10 บาท ต่างชาติราคา 50 บาท
แม้ยังไม่ได้เดินเข้าไปชมภายใน แต่ภาพรวมของวัดก็งดงามสะดุดตาสุด ๆ และเมื่อได้เข้าไปดูใกล้ ๆ ความรู้สึกแรกที่เข้ามาในหัวคือ
หากได้เห็นตอนที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยอยุธยา จะสวยขนาดไหนกันนะ ทำให้เราอยากย้อนอดีตได้ขึ้นมาจริง ๆ
และเมื่อได้เดินมาชมด้านใน ก็สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ ระเบียงคตที่เดิมนั้นมีหลังคาสามารถเดินได้ โดยมีปรางค์ประธานอยู่ใจกลางให้ได้ชมความงาม 360 องศา
๓. วัดธรรมารามทางเข้าวัดเป็นทางลาดยาง ภายในวัดร่มรื่นมาก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสวนสาธารณะ เพราะจะมีทั้งต้นไม้น้อยใหญ่ รายล้อมเต็มไปหมด แม้อากาศจะร้อนแต่เมื่อเข้ามากลับรู้สึกเย็นสบาย
แต่น่าเสียดายวันที่ไปไม่สามารถเยี่ยมชมโบสถ์ได้เนื่องจากปิดบูรณะใหม่ จึงทำได้เพียงถ่ายรูปด้านหน้ามาเท่านั้น
๔.ก๋วยเตี๋ยวเรือห้อยขา ถึงเวลาเติมพลังงานมาถึงอยุธยาก็หนีไม่พ้นอาหารขึ้นชื่ออย่าง ก๋วยเตี๋ยวเรือ โดยที่ร้านมีแยกเป็น 2 โซน โดยจะมีโซนที่นั่งธรรมดา หรือห้อยขาก็จะอยู่สูงกว่าผิวน้ำ
และโซนที่ 2 จะอยู่ต่ำกว่าโซนที่ 1 ห้อยขาลงไปก็เกือบจะถึงผิวน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ต้องเลือกฝั่งที่นั่งชิดติดผิวน้ำไปเลย ในวันที่ไปน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาค่อนข้างขึ้นสูง ทำให้ห้อยขาลงไปเท้าก็จุ่มลงไปในน้ำ แก้ร้อนได้ดีทีเดียว 555+
ที่ร้านนอกจากวิวสวย ๆ ของแม่น้ำเจ้าพระยา และปรางค์ประธานวัดพุทไธศวรรย์แล้ว เมนูอาหารก็มีให้เลือกเยอะมาก ๆ แต่เมนูที่เราเลือกสั่งคือ ก๋วยเตี๋ยวหมูไข่ยางมะตูม ส้มตำไข่เค็ม และ ยำวุ้นเส้นทะเล
ในส่วนของก๋วยเตี๋ยวเส้นนุ่ม รสชาติน้ำซุปเข้มข้นจนแทบไม่ต้องปรุงเลย ส้มตำจะเน้นไปทางเปรี้ยวนำ หวานตาม อร่อยลงตัว และในส่วนของยำวุ้นเส้นทะเลก็รสชาติจัดจ้าน รู้ตัวอีกทีก็หมดไม่เหลือ
๕. วัดมหาธาตุต้องเสียค่าเข้าชมเหมือนกันกับวัดไชยวัฒนาราม คนไทยราคา 10 บาท ส่วนคนต่างชาติ ราคา 50 บาท
ในการที่จะเยี่ยมชมวัดเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำว่าให้เราเดินจากทางด้านขวา ไม่เช่นนั้นจะพลาดไฮไลท์ คือ เศียรพระพุทธรูปกว่าร้อยปีในรากไม้ เป็นสิ่งที่แปลกตาและน่าอัศจรรย์
วัดมหาธาตุมีพื้นที่กว้างมาก ดีที่ระหว่างทางเดินจะมีต้นไม้น้อยใหญ่เป็นร่มเงา มีต้องตากแดดตรงในส่วนของตัววัดเท่านั้น
นอกจากความงามชวนพิศวงของเศียรพระพุทธรูปกว่าร้อยปีในรากไม้ ยังมีความงดงามของวิหารที่ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง พื้นที่รอบ ๆ จะมีพระพุทธรูป แต่หากสังเกตดี ๆ พระพุทธรูปทุกองค์ล้วนแต่ไม่มีเศียร ว่ากันว่าเพราะถูกตัดตอนทำสงคราม
เมื่อเดินชมความสวยงามและความน่าอัศจรรย์ชวนให้เรานึกย้อนอยากกลับไปในอดีต ก็อดไม่ไหวที่จะต้องยกมือถือขึ้นมากดเก็บบันทึกภาพโดยเร็ว
ภาพของวิหารสีน้ำตาลแดง ผสมกับสีดำแซมด้วยสีขาวของปูนที่ผ่านมายาวนาน ตัดกับสีเขียวของผืนหญ้าต้นไม้ และท้องฟ้าสีครามสว่าง เป็นวิวที่ลงสวยจนเผลอกลั้นหายใจ
๖. บ้านข้าวหนม ทริปเที่ยววัดดังตามรอยบุพเพสันนิวาส คงจบเพียงเท่านี้ แต่! จะกลับโดยไม่มีของฝากติดไม้ติดมือก็คงไม่ได้ และอีกอย่างเรายังไม่ได้ทานของหวานเลย กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่ ดังนั้นเราก็แวะไปต่อกันที่บ้านข้าวหนม
เพียงเปิดประตูเข้าไปก็จะได้กลิ่นหอมของกาแฟ เครื่องดื่ม ได้ยินเสียงของลูกค้าที่นั่งพูดคุย ดื่ม ทานขนมกันอย่างสนุกสนาน และพนักงานที่ยิ้มต้อนรับ
โซนขนมจะถูกแบ่งไปอยู่อีกโซนแยกกับที่โซนนั่งทานและสั่งเครื่องดื่ม หากเป็นร้านอื่น คงให้หยิบขนมลงตะกร้า แต่ที่ร้านนี้ให้หยิบใส่กระจาดไม้สานที่มีใบตองวางรองไว้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใคร
ภายในร้านมีขนมให้เลือกเยอะมาก ตั้งแต่ขนมไทยโบราณแบบขบเคี้ยวทานเล่น อย่างขนมผูกรัก ข้าวเกรียบปลา เห็ด หรือ กุ้ง
ขนมไทยโบราณ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น ขนมห่อ พูดได้ว่ามาที่นี่จบได้ของฝากที่ถูกใจไปให้คนที่บ้านแน่นอนค่ะ