สิมิลันแดนในฝัน
เช้านี้เราลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความตื่นเต้นเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะฝันจากอาหารที่กินไปเมื่อคืนหรอก แต่วันนี้เราจะไป “สิมิลัน” กัน เรากับโย ซึ่งเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนเทคนิคที่เรียนตามกันมาจนจบปริญญาตรี ต่างเก็บสัมภาระอย่างเบิกบานใจ และพากันออกมาจากที่พักในเขาหลัก แวะรับเพื่อนอีกคนแล้วก็ตรงไปท่าเทียบเรือทับละมุ เพื่อสมทบกับเพื่อนๆ อีกกลุ่มใหญ่ 1..2..3..ทั้งหมดก็ 10 คนพอดี
เมื่อได้เวลาเราก็ไปขึ้นเรือกัน นายเรือให้พวกเราถอดรองเท้าแล้วปีนขึ้นไปทางชั้น 2 ของเรือ เพราะเนื่องจากว่าเช้านี้น้ำลงพอดี สัมภาระของพวกเรา 10 คน ประหนึ่งเหมือนกับว่าจะไปอยู่เป็นแรมเดือน แต่แท้ที่จริงแล้วมันแค่คืนเดียวบน “อช.หมู่เกาะสิมิลัน” เท่านั้น ด้วยความที่เราเป็นคนกรุงไม่ได้ขึ้นเรือบ่อยๆ และนานๆ อย่างเพื่อนๆ ลูกน้ำเค็มทั้งหลายในก๊วนนี้ เราเลยจำต้องกลืนยาแก้เมาผ่านลำคอไป 2 เม็ด เผื่อเอาไว้ก่อน พวกเราใช้เวลาเดินเรือกันประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึง “เกาะเมี่ยง” (เกาะสี่) ซึ่งเป็นเกาะที่มีแหล่งน้ำจืดและที่ทำการอุทยานอยู่
ระหว่างที่เรือกำลังลอยลำรอเรือหางยาวจากเกาะมารับเข้าฝั่งอยู่นั้น พวกเราก็ได้แต่ชื่นชมความงามกับผืนฟ้าและท้องทะเล แสงแดดตกกระทบกับน้ำทะเลสีฟ้าใส ที่มองลงไปถึงทรายสีขาวและปะการังต่างๆ ใต้ท้องน้ำ ตัดกับสีสดใสของปลาตัวเล็กๆ ที่แหวกว่ายอยู่ เรานิ่งไปครู่หนึ่ง..อาการเมาคลื่นปนความรู้สึกล่องลอยขณะนั่งอยู่บนเรือมา 2 ชั่วโมงนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง ช่วงเวลานี้ มันไม่มีอะไรมาดึงความสนใจของเราไปได้เลย
หลังจากที่พวกเราขึ้นเกาะแล้วแยกย้ายกันไปเก็บของในที่พัก จากนั้นก็ถึงเวลาแห่งการพักผ่อนของพวกเรา บางคนว่ายน้ำเล่น บางคนหามุมสงบอ่านหนังสือเล่มโปรด บางคนเลือกที่จะนอนใต้ร่มเงาไม้ให้กลิ่นอายและลมทะเลพัดกระทบ ส่วนเรากับโยและเพื่อนๆ อีก 2-3 คน เลือกที่จะนั่งคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ ที่ไปพบเจอกันมา
พวกเรานำขนมและเครื่องดื่มไปเพิ่มเติมบรรยากาศอันแสนสบายที่ “สิมิลัน” ด้วย แต่หาได้ลืมที่จะเก็บแพคเกจบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ง่ายโดยธรรมชาติกลับมาด้วย แต่ที่นี่ก็ไม่ได้มีแต่ความประทับใจให้พวกเราอย่างเดียวเท่านั้น ซอกหลืบของขอนไม้ล้มที่เจ้าหน้าที่อุทยานนำมาทำเป็นโต๊ะและเก้าอี้ ให้พวกเราได้นั่งดื่มกินและสังสรรค์กันนั้น มีแต่เศษก้นบุหรี่อยู่มากโข แต่จะหาจับใครเป็นผู้ร้ายได้ไม่ เพราะจากสภาพเศษเสี้ยวของขยะจากมนุษย์นั้น ได้แสดงถึงการผ่านแดดฝนและทนหนาวมานานหลายปีแล้ว พวกเราได้แต่ช่วยกันเก็บบางส่วนที่สามารถทำได้ ไปลงในถังขยะที่อยู่หน้าห้องน้ำซึ่งไกลออกไปเท่านั้น
หลังจากที่พวกเรานั่งเล่นกันพักหนึ่งแล้ว เราก็เดินผ่านชายหาดที่มีทรายขาวละเอียดนุ่ม ยิ่งเดินผ่านช่วงที่คลื่นทะเลซัดมาถึง ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนเดินอยู่บนพรมก็ไม่ปาน น้ำทะเลสีฟ้าใสๆ ของที่นี่ ทำให้เด็กเมืองกรุงอย่างเราที่ได้เคยแค่สัมผัสแต่ทะเลฝั่งอ่าวไทยนั้น กระหายที่จะแหวกว่ายลงเล่นในทะเลเป็นยิ่งนัก
พอพลบค่ำ พวกเราก็ไปกินข้าวเย็นกันที่โรงอาหาร และแยกย้ายกันไปอาบน้ำ ค่ำวันนี้ที่หน้าชายหาด ไร้ซึ่งลมทะเลเหมือนช่วงบ่าย บรรยากาศที่นิ่งสนิทในค่ำคืนแห่งเดือนเมษายนที่เป็นช่วงปลายร้อนต้นฝนนี้ ช่างน่ากังวลเสียนี่กระไร และเมื่อลมทะเลโหมกระพือเข้ามานั้น พวกเราก็ได้แต่เตรียมพร้อมเข้าเก็บของที่เต๊นท์ของพวกเรา นั่นเป็นเพราะสัญญาณเตือนถึงพายุฝนที่กำลังจะตรงเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่พวกเราจะไปถึงเต๊นท์กัน ฝนก็ได้กระหน่ำลงมาแล้ว ลมและสายฝนก็ทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเราก็ไม่หวั่น เมื่อเก็บของได้ พวกเราก็ไปรวมตัวกันที่โรงอาหาร..พักสายตาไปกับละอองฝนค่ำนี้
เช้าวันใหม่ สดใสกว่าเมื่อวานนี้ อาจเป็นเพราะพายุฝนเมื่อคืนนี้ พัดพาเอาความหมองหม่นออกไป ซากต้นไม้หักโค่นมีให้เห็นอยู่ทั่วไปบนเกาะ หาเรายังทู่ซี้ที่จะนอนอยู่ในเต๊นท์ต่อไป คงจะมีหมอนข้างอันใหญ่โขเป็นแน่ พวกเราเก็บบรรยากาศและความงามที่เมื่อคืนนี้ธรรมชาติได้ปรุงแต่งให้ไว้กันพักใหญ่ ก็มีอันต้องลา “สิมิลัน” กลับเข้าแผ่นดินใหญ่ เป็นมนุษย์เงินเดือน เก็บหอมรอมริบ เพื่อที่จะหลีกหนีชีวิตที่จำเจ ออกมาใช้ชีวิตกับป่าเขาและท้องทะเลอีก
ป.ล. เก็บธรรมชาติวันนี้..ให้มีอยู่ในวันพรุ่งนี้ เหมือนกับที่เราเก็บธรรมชาติเมื่อวานนี้..ให้มีอยู่เพื่อวันนี้ สิ่งที่เรารักเราหวงแหน เราก็อยากเก็บไว้ให้คนที่เรารักได้ดู หากเราไม่เก็บไว้แล้ว..อนาคตลูกหลานเราคงได้ดูเพียงแต่ภาพถ่ายที่เราเก็บไว้เท่านั้น เรามาช่วยกันอนุรักษ์และทำความสะอาดธรรมชาติกันเถอะ อย่าต้องให้ธรรมชาติต้องสร้างคลื่นยักษ์มาทำความสะอาดตัวเองอีกเลย..
ทอมมี่ ลี
cr: เนื้อหาดังกล่าว เคยนำไปลงคอลัมภ์ "ปล.ขอให้มีความสุข" ใน "เสาร์สวัสดี" ฉบับแทรกของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2550