ทริปนี้มาแบบตั้งใจมาก เพราะว่า เริ่มแรกนั้น เหตุเกิดที่บ้านกระผมเอง ขอบรรเลงเลยละกัน วันนั้นอากาศดี สดชื่นแจ่มใสเดินชมสวนหน้าบ้านแต่ในมือนั้นถือกรรไกร และถุงหนวยเล็กๆใว้เก็บยอดมะขามอ่อนบ้างตัดแต่งดอกไม้ใบไม้บ้างก็เพลินๆดี และแล้วเสียงเรียกของแม่ก็มา เอ๋อนุ้ย มาช่วยแม่ขายกาแฟที ได้ยินเสียงพลัน ก็หันมาแล้วเดินไป เสร็จแล้วมีตาคนหนึ่ง เดินมาซื้อน้ำร้อน ก็งงๆอยู่ว่าวันนี้ทำไมแกถึงซื้อน้ำร้อน จากนั้นก็เอาถึงมาใส่น้ำร้อนเส็จ หันหลังไปดูแกอีกทีแกเป็นลมหายท้องไปแล้วยังเคราะดีที่หัวไม่ฟาดพื้นเพราะมีคนเห็นแกก่อนที่หัวแกจะตกลงพื้น ความวตื้นตระหนกก็เกิดขึ้น ณ ร้านชา เลยรีบช่วยกันนำส่งโรงพยาบาล cpr กันบนท้ายรถกระบะ เมื่อถึง โรงพยาบาล ผู้ป่วยรู้สึกตัวแล้ว ถามชื่อแซ่ เรียบร้อย ไม่มีครอบครัวอยู่ตัวคนเดียวอาการเส้นเลือดในสมองแตก พ่อของกระผมเลยเป็นธุระติดต่อหาญาติให้จากนั้นทาง ร.พ.นำตัวผู้ป่วยส่งต่อไปยัง โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ตอนนั้นญาติเขาไม่ทันมา ผมเลยตัดสินใจขึ้นรถAmbulance ไปด้วย ระหว่างทางน้องพยาบาลเขาเกิดอาการมึนหัวเขาบอกว่าเมารถ กระผมนึกสงสารเอามือล้วงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบยอดมะขามที่เก็บไว้ตอนเช้าให้น้องเขากิน โชคดีที่มีรสเปรี้ยวอาการเลยเบาลงสักหิด เฮ้อหวางไป จากนั้นนำตัวผู้ป่วยส่งห้องฉุกเฉิน เสร็จญาติเขามาถึงแล้ว หมดหน้าที่ของกระผม เสียงพุงร้องครอกๆเนือยข้าวแล้ว กะว่าออกจากโรงพยาบาลเสร็จหาข้าวสักชามแล้วขึ้นรถโดยสารกลับบ้าน พอข้ามทางมาลายเสร็จล้วงแลกระเป๋ามีตางอยู่ 70 บาท ค่อยกินอีกข้าวบายทีนี้ ขึ้นรถสองแถวไปลงสนามหน้าเมือง 10 บาท ระยะทางจากหน้าเมืองไป บขส. ประมาณ 3 กิโล ทำพรือละทีนี้ ถ้าไปวินมอไซต์ 40 บาท เหลือตาง 20 ไม่พอค่ารถตู้ เลยตัดสินใจเดินท่องเที่ยว ผ่านศาลหลักเมืองนครศรี และเดินต่อมาประมาณ 30 เมตร ก็ถึงหอพระสูงตามรูปนี้เลย จากการสอบถามความว่าภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นแกนดินเหนียว สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพุทธศตวรรษที่ 23–24 หรือในสมัยอยุธยาตอนปลาย กระผมขึ้นไปกราบไหว้เสร็จก็บายใจ แล้วเดินทางต่อจนถึงบ้านโดยสวัสดีครับ