อริสโตเติลเคยถามเพลโตผู้เป็นอาจารย์ว่า ชีวิตคืออะไร เพลโตเลยให้เวลา 3 วันกับอริสโตเติลเพื่อเข้าไปยังป่าและหาดอกไม้ที่งดงามที่สุดกลับมา ครั้นเวลาล่วงเลยกว่า 3 วันแล้วเพลโตก็ยังไม่เห็นอริสโตเติลกลับมาจึงออกไปตามหา
พบอริสโตเติลกางเต๊นท์อยู่ใกล้กับดอกไม้ป่าดอกหนึ่ง เพลโตจึงถามไปว่า "ดูเหมือนท่านจะพบแล้ว ว่าดอกไม้ที่งดงามที่สุดอยู่ที่นี่ แต่แล้วทำไมถึงไม่นำกลับมาล่ะ?" อริสโตเติลตอบกลับไปว่า "หากนำดอกไม้นี่กลับไปแล้ว ก็จะเหี่ยวเฉา ไม่งดงามเหมือนดังก่อน ข้าเกรงว่าจะไม่ได้นำดอกไม้ที่งดงามที่สุดกลับไปได้ จึงปักหลักอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้ามองความงดงามของมัน"
เพลโตผู้เป็นอาจารย์จึงกล่าวว่า"ดูเหมือนท่านเข้าใจความหมายของชีวิตแล้ว บางทีความหมายของชีวิตคือการมีความสุขจากการซึมซับความงดงามเมื่อตอนมีชีวิตอยู่"
เอาล่ะครับ เกริ่นมาตั้งนาน ผมเองไม่ได้ออกทริปไปไหนเหมือนแต่ก่อนเลยตั้งแต่มีโควิด ประกอบกับติดธุระนั่นนี่ พอเขียนแอปเสร็จจึงได้ทีจัดทริปไปอยู่กับตัวเอง พักผ่อนอ่านหนังสือเงียบๆสักหน่อย และทริปนี้ก็เป็นทริปที่เดินทางใกล้ๆไม่ไกลจากกรุงเทพฯมาก และก็เป็นที่เที่ยวยอดนิยมของคนกรุงเทพฯ นั่นก็คือพัทยานั่นเอง
เที่ยวพัทยาวันธรรมดา
ทริปนี้ผมเดินทาง 3 วัน 2 คืน โดยจุดประสงค์คือไปพักผ่อนอ่านหนังสือ มีแพลนหลวมๆว่าจะไปเที่ยวแถวเขาชีจรรย์ช่วงกลางวันเพราะน่าจะคนน้อย น่าจะไม่เสี่ยงเจอกลุ่มคนหรือต้องมีปฏิสัมพันธ์อะไรกันมาก เลยออกเดินทางวันพุธกลางสัปดาห์ช่วงบ่าย
จุดพักรถมอเตอร์เวย์หนนี้ดูเหมือนจะเงียบๆกว่าเมื่อก่อนมาก รถราไม่ได้พลุกพล่านและร้านค้าก็ไม่ได้มีผู้คนเข้าไปนั่งทานข้าวกันมากนัก อาจจะเป็นเพราะอากาศค่อนข้างร้อน เป็นวันธรรมดาและช่วงโควิดเองก็ดี แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยของจุดพักรถมอเตอร์เวย์คือห้องน้ำครับ จะกี่ปีกี่ครั้งที่แวะ ห้องน้ำบางทีก็ยังใช้ไม่ได้บ้าง น้ำไม่ไหลบ้าง อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ไปแล้ว
เข้าที่พักสไตล์โรมัน
ที่พักที่ผมเลือกมาอยู่ในทริปนี้เป็นที่ Four Seasons Place บางละมุง อยู่บริเวณพัทยากลางไม่ไกลจาก Central พัทยาและย่านของกิน ตอนที่จองผ่าน Booking นี้รู้สึกว่าราคาค่อนข้างดี ห้องใหญ่กว่าที่พักอื่นในย่านราคาใกล้เคียงกัน (1,200-1,300 ต่อคืนรวมอาหารเช้า) ตัวที่พักเป็นตึก 2 ตึกมีสระน้ำอยู่ตรงกลาง โรงแรมอาจจะไม่ได้ใหม่มาก แต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว การตกแต่งก็จะออกแนวโรมันหน่อยๆ จุดเด่นของที่นี่คือขนาดของห้องพักซึ่งสามารถพักอยู่ได้เป็นครอบครัวเลยทีเดียว
บอกเลยว่าการมาพักคนเดียวในห้องขนาดกว่า 80 ตรม. ก็ถือว่าโล่งสบายมากๆ ช่วงวันที่ผมไปนั้นโรงแรมน่าจะมีคนเข้าพัก 2-3 ห้อง จากทั้งหมดดูแล้วเกือบ 70 ห้อง นอนพักผ่อนอ่านหนังสือแบบไม่มีเสียงอะไรมารบกวนได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
วันแรกขับรถมาเจอแดดค่อนข้างเหนื่อย เย็นออกไปซื้อน้ำซื้อขนมหาอะไรทานเบาๆที่เซ็นทรัลพัทยา ก็ถือว่าคนน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวในบริเวณหน้าหาดตอนนี้กับช่วงก่อนโควิดแล้ว คิดว่าคนน่าจะหายไปประมาณ 50% หรือมากกว่านั้น หลากคนอาจจะมองว่ามาเที่ยวไม่สนุกดูโหลงเหลง แต่สำหรับผมแล้วทุกทริปที่ไม่ค่อยเจอคนถือว่าเป็นทริปที่กำไรครับ 55 สังเกตุได้จากทริปเก่าๆที่ผมเขียน จะเห็นว่าตั้งใจไปเที่ยวแบบไม่อยากเจอคนตลอด
เที่ยววัดญาณสังวราราม
วันที่สองตั้งใจไปเที่ยวเขาชีจรรย์ เลยหาที่เที่ยวใกล้ๆกับเขาชีจรรย์ก็พบ วัดญาณสังวราราม และวิหารเซียนอยู่ไม่ไกลกันมาก ขับรถน่าจะประมาณ 5-10 นาทีระหว่างที่ก็ถึงกันแล้ว แน่นอนว่าส่วนใหญ่วัดและอุทยานจะเป็นที่กลางแจ้ง ช่วงเวลาที่เที่ยวได้สบายก็น่าจะเป็นช่วงเช้าก่อนสาย หรือช่วงบ่ายแก่ๆ ตกเย็นไปเลย แต่พอดีว่าวันนี้เป็นวันหยุด (วันเฉลิมฯราชินี) ก็คิดว่าคนอาจจะเยอะ เลยตัดสินใจไปเที่ยวช่วงเที่ยงๆ น่าจะไม่เจอคน
ขับรถจากที่พักไปประมาณ 20 นาทีเศษ ก็จะเจอกับอ่างเก็บน้ำบ้านอำเภอซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถลงไปนั่งพักผ่อนหรือปล่อยปลาได้ ฝั่งนึงจะเป็นฝั่งของวัดญาณสังวราราม และอีกฝั่งของอ่างเก็บน้ำจะเป็นฝั่งที่ตั้งของวิหารเซียน
แต่ด้วยการที่เห็นเจดีย์พุทธคยาจำลองตั้งสูงเด่นจึงเลยเข้าไปที่วัดญาณสังวรารามก่อน โดยวัดญาณสังวรารามเป็นวัดใหญ่ที่ร่มรื่นมีต้นไม้น้อยใหญ่อยู่ทั่วบริเวณวัด ชื่อเสียงเรียงนามของวัดนี้เห็นจะเป็นวัดที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนเป็นผู้จัดสร้างขึ้น ภายในมีบริเวณให้นั่งพักผ่อน มีร้านค้า บรรยากาศเงียบสงบเหมาะกับการมาทำบุญ นั่งสมาธิ มีจุดเด่นคือเจดีย์พุทธคยาจำลองสูงตระหง่าน ด้านในเป็นนิทรรศการขนาดย่อมๆว่าด้วยเรื่องของพระพุทธเจ้า การดับทุกข์ การตรัสรู้ของพระองค์ ฯลฯ
เข้าไปด้านในอีกนิดจะเป็นวงเวียนมีพระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ที่ด้านในเป็นห้องโถงโล่ง 3 ชั้น เงียบสงบเหมาะกับการมานั่งเฉยๆ หรือนั่งสมาธิพักคนพักรถฟังเสียงนกร้องและจิ้งหรีดที่ร้องเป็นระยะๆ สรุปแล้วใครที่ชอบมาเที่ยวพักผ่อนสายบุญ หรือหาที่นั่งพักใช้เวลาอยู่กับตัวเองเงียบๆ วัดนี้เป็นอีกหนึ่งวัดที่อยากให้แวะมากัน
วิหารเซียน พัทยา
เป็น 1 ใน 10 พิพิธภัณฑ์แนะนำให้เที่ยวในประเทศไทย จัดอันดับโดย TripAdvisorมีลักษณะคล้ายกับป้อมปราการตั้งอยู่กลางแจ้ง เสียค่าเข้าชม 50 บาท ด้านในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ไล่ลำดับไปตั้งแต่ชั้น 1 ที่กว้างที่สุดไปจนถึงชั้น 3 ที่มีขนาดลดหลั่นลงมา
ด้านล่างจัดแสดงรูปปั้นสำริดหลากหลายราชวงศ์ของจีน มีภาพเขียนหายาก เครื่องปั้นดินเผาจิ๋นซี และอื่นๆเหมาะกับการเข้ามาเรียนรู้ศึกษาประวัติศาสตร์จีนเป็นอย่างมาก ด้านบนชั้นสองเป็นลานกว้างมีรูปปั้นสำริดวางเรียงและมีนักพรตเต๋าเป็นเอกลักษณ์น่าสนใจ
ชั้นบนสุดมีพระประธานอย่างพระพุทธชินราชและพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ โดยรวมถ้ามากลางวันจะร้อนหน่อย ภายในเหมาะกับการเดินศึกษา ช่วงนี้คนไม่เยอะเดินได้สบายมากครับ ผมเดินเข้าไปในห้องโถงทั้ง 3 ชั้น แทบจะเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวที่เดินดูนั่นดูนี่ในช่วงเวลานั้นเลย
สรุปแล้วจุดเด่นของวิหารเซียนน่าจะเป็นรูปปั้นสำริดที่มีหลากหลาย แต่ละรูปก็สวยงามมีความสมบูรณ์ มีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไปประมาณ 2 เท่า น่าจะเป็นสิ่งที่หาชมไม่ได้ง่ายในพิพิธภัณฑ์อื่นในไทย
เวลาล่วงเลยมาประมาณบ่าย 2 ครึ่ง อากาศร้อนจัด ถ้าไม่ติดยาดมและน้ำไปคิดว่าน่าจะเป็นลมแดดกันได้ง่ายๆ ออกเดินทางจากวิหารเซียนไปเขาชีจรรย์ที่อยู่ใกล้กันใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที แต่น่าเสียดายที่ช่วงนี้อุทยานเขาชีจรรย์ปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิด เลยไม่ได้แวะเข้าไปเที่ยวชม 😢
Dripoly
อากาศร้อนจนชุ่มเหงื่อไปทั้งตัวก็ไม่อยากจะแวะไปไหนอีกเลย ก่อนกลับเข้าที่พักก็เห็นว่ามีร้านกาแฟน่าสนใจอยู่ใกล้กันเลยตัดสินใจแวะเข้าไปซื้อกาแฟเสียหน่อยชื่อว่าร้าน Dripoly ครับ
Dripoly เป็นร้านกาแฟสเปเชียลตี้ที่น่าสนใจ มีเมนูให้เลือกสั่งหลากหลายไม่ว่าจะเป็นคนที่ทานกาแฟเข้มๆ กาแฟแบบเดอร์ตี้ กาแฟผสมผลไม้ กาแฟผสมชา หรือไม่อยากทานกาแฟก็มีให้เลือกทั้งชานม ชาเขียว ช็อกโกแลต โกโก้ เมนูดับร้อนหลายอย่าง
ตัวร้านค่อนข้างโปร่งดูสบายมีแสงส่องเข้ามาตลอดวัน ภายในตกแต่งด้วยอุปกรณ์แนวๆ และต้นไม้ฟอกอากาศดูเป็นสัดเป็นส่วน ตัวร้านจะอยู่ติดถนน สามารถเข้าไปจอดได้ที่หน้าสนามฟุตบอล (อยู่ติดกัน) รสชาติกาแฟถือว่าค่อนข้างโอเคในราคาที่ค่อนข้างสูงพอประมาณ
จากอากาศที่ร้อนจัด และช่วงโควิดที่สถานการณ์ยังไม่แน่ไม่นอน พอกลับที่พักแล้วก็เลยไม่อยากไปไหนอีก กลายเป็นว่าทริปนี้ใช้เวลาอยู่กับที่พักคุ้มมาก เหมือนได้มาเที่ยวพักผ่อนแบบส่วนตัวจริงจัง และอีกหนึ่งข้อดีของพัทยาที่มีชาวต่างชาติเยอะคืออาหารมังสวิรัติหากินง่าย เปิดแอปสั่งอาหารดูหลายๆร้าน รู้สึกมีตัวเลือกกว่าตอนเปิดดูที่กรุงเทพฯ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยใช้พลังงานในการเดินเยอะตลอดทั้งวัน เลยสั่งเบอร์เกอร์มังจากร้านแถวนั้นมาที่พักดู ราคาอาจจะสูงกว่าเบอร์เกอร์คิงตัวที่เป็น plant based หน่อย แต่ได้เครื่องกับรสชาติอื่นๆต่างกันพอสมควร ถือว่าค่อนข้างดี
ครัวเซิร์ฟพัทยา
เช้าวันกลับอยากจะแวะไปร้านอาหารเช้าร้านนึงแถวหาดจอมเทียน เป็นร้านที่ตอนเด็กๆไม่ว่าจะมาพัทยากี่ครั้งก็จะมาทานข้าวก่อนกลับกรุงเทพฯทุกครั้งกับที่บ้าน ตอนเด็กก็ไม่เคยตั้งคำถามหรอกว่าทำไมต้องมาทานที่ร้านนี้เป็นประจำ รู้แต่เหมือนว่าทุกครั้งที่มาพัทยายังไงก็แวะมาร้านนี้ไม่วันใดวันหนึ่ง
ครัวเซิร์ฟนี่น่าจะอยู่มาเป็นสิบๆปีแล้วตั้งแต่จำความได้ อาหารก็เป็นอาหารเช้าแบบฝรั่งทั่วไป รวมถึงอาหารไทยที่ราคาสมเหตุสมผล ทำเลดีคือตั้งรับลมติดกับถนนหน้าหาดจอมเทียน เมื่อก่อนมีโต๊ะให้นั่งไม่กี่โต๊ะ ตอนนั้นไอ้เราที่เป็นเด็กก็นั่งมองไปที่หาดเพลินๆ ฟังเสียงคลื่นและดูความมีชีวิตชีวาตามแบบพัทยาใต้
จนตอนนี้เมื่อเราโตขึ้น เราเองนั่นแหละที่ตั้งใจอยากกลับไปที่ร้านเดิม
และเราก็ได้เรียนรู้แล้วว่า สถานที่ที่หนึ่งทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาเดิมๆกับครอบครัวได้ยังไง เราเคยได้รับประสบการณ์แบบไหน เสียงคลื่นแบบไหน กลิ่นทะเลแบบไหนที่มันแอบไปอยู่ในซอกหลืบของความทรงจำที่แม้แต่เราก็คิดว่าจะลืมไปแล้ว และไม่รู้เลยว่ามันยังเหลืออยู่ในเศษเสี้ยวของความทรงจำของเรา
การได้เข้าไปนั่งในสถานที่เพื่อซึมซับบรรยากาศกับข้าวหนึ่งจาน ทำให้เรานึกย้อนอะไรได้มากมาย ถึงแม้ว่าวันนี้มีเพียงเราคนเดียวที่ไปตรงนั้น แต่ก็ไม่นึกเลยว่าการไปนั่งที่เดิมแค่ช่วงเวลาสั้นๆเพียงครึ่งชั่วโมง จะทำให้นึกถึงประสบการณ์เก่าๆ และเรื่องของอริสโตเติล-เพลโตขึ้นมาดังที่กล่าวไปตอนแรก 🤗