สวัสดีค่ะทุกคน ในที่สุดหลังจากที่มีโควิดระบาดอย่างหนักจนทำให้เทศกาลสงกรานต์ถูกสั่งงดมาถึง ๓ ปี ในที่สุดในปี ๒๕๖๖ พวกเราก็จะได้เล่นน้ำสงกรานต์อีกครั้งแล้ว และคงไม่ว่ากันนะคะถ้ามาเขียนย้อนหลังนานไปหน่อย
เอาจริงๆ เรามีแพลนอยากกลับไปเล่นที่บ้านต่างจังหวัดนะ แต่ก็ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างที่มันไม่อำนวย และไม่สะดวก เลยแบบต้องกราบขอขมาบิดรมารดาไว้ ณ ที่นี้ ขอทำตัวเป็นเด็กเทพฯ เล่นน้ำในเมืองกรุงก็แล้วกันนะคะในปีนี้
เมื่อแสงตะวันขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า ปฏิทินบนหน้าจอมือถือขึ้นว่า ๑๓ เมษายน ๒๕๖๖ บอกให้รู้ว่านี้คือ สงกรานต์หรือวันปีใหม่ไทย อากาศที่ร้อนระอุ จนรู้สึกเหมือนจะเป็นลมแดดวันละสามรอบต่อวันก็ยังไม่จางหาย จนทำให้รู้สึกว่าอยากเอาตัวเองไปอยู่ในกระแสน้ำเย็นๆ แต่ยังเช้าไปยังไม่มีใครเค้าเล่นกัน เราเลยนั่งรอจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ตอนเที่ยงวัน เรากับหลานๆ ก็เริ่มเตรียมปืน(ฉีดน้ำ)อาวุธคู่กายมุ่งสู่สนามรบ นั้นคือ ถนนสีลม!!
เมื่อเทียบกับสงกรานต์เมื่อ ๓ ปีก่อน ในปีนี้ไม่ได้มีการปิดถนนแต่อย่างใด อาจจะเพราะนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำยังไม่ได้เยอะมาก จะให้เล่นกันแค่บริเวณริมฟุตบาทสองข้างทางแทน โดยผู้คนส่วนใหญ่ก็จะมีคนไทยผสมกับต่างชาติ ซึ่งจะเป็นทางด้านชาวจีนซะมากกว่า ไม่ได้มีแบบฝรั่งหัวทองจ๋าๆ เหมือน ๓ ปีที่ผ่านแล้ว
โดยการเล่นน้ำก็จะเป็นการเล่นแบบไร้แป้ง เพราะว่าเขาใช้ดินสอพอง พ่าม!!! ไม่ใช่มุกนะทุกคน อันนี้พูดจริง ๆ ค่ะ เพราะแม้รัฐบาลจะออกมาประกาศว่า ห้ามเล่นแป้งผสมสี แต่ก็มีบางคนที่ใช้ดินสอพองละลายน้ำแทนก็ถือว่าไม่ผิดกติกา (รึเปล่า) แต่ก็มีน้อยมาก
และหากเล่นไปเล่นมาจนน้ำในปืนหมด ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องหมดสนุกต้องรีบกลับ เพราะตลอดเส้นทางสนามรบก็มีบริการเติมน้ำ ตลอดทาง ราคาเริ่มตั้งแต่ ๕-๒๐ บาทขึ้นอยู่กับขนาดความใหญ่โตของปืนอาวุธคู่กายที่เราพกนั่นแหละค่ะ
เรากับหลาน ๆ ใช้เวลาเดินเล่นวนอยู่ตรงถนนสีลมอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมงก็ต้องบอกลา เพราะด้วยความเมื่อยขาจากการเดิน และความหนาว ใช่ค่ะ! อย่างอ่านตรงนี้แล้วขมวดคิ้วเป็นโบว์ เพราะมันหนาวจริงๆ เพราะน้ำที่ใช้เล่นหรือให้เติมระหว่างทาง คือน้ำที่ผสมกับน้ำแข็งที่โดนฉีดหรือโดนสาดทีต้องร้องกรี๊ดอย่างกับโดนข้าวสารเสก เอาซะอากาศร้อนยังยอมแพ้และชิดซ้ายให้เลย
หลังจากเราและหลานๆ กลับมาถึงห้องก็แยกย้ายกันไป อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และนอนพักกันนิดๆ หน่อยๆ เพราะพี่ชายได้ชวนเราและหลานอีก ๑ คน ไปกินอาหารเย็นแบบครอบครัว นั้นคือที่หนีไม่พ้นร้านหมูกระทะ
ซึ่งร้านที่พี่ชายได้พาพวกเราไปคือ บอลหมูกระทะสาขา สาธร-ตรอกจันทร์เพราะไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่พักของเราค่ะ ร้านโล่งโปร่ง มีโต๊ะให้เลือกนั่งเยอะ ที่ร้านจะไม่ได้เป็นหมูกะทะแบบบุฟเฟ่ต์ แต่จะเป็นแบบชุด โดยราคาเริ่มตั้งแต่ ๒๐๐-๕๐๐ บาท หากชุดที่เลือกสั่งไม่อิ่มก็มีให้สั่งเนื้อเพิ่มได้
และมีเมนูยำต่างๆ ด้วย ซึ่งเราก็ได้สั่งกันไปเป็นชุดใหญ่สุดของทางร้าน ราคา ๕๐๐ บาท จะได้เป๊ปซี่ 2 ขวด ถาดเนื้อที่มาพร้อม เบคอน กุ้ง ปลาหมึก หมูสามชั้น หมูนุ่ม ตับ และ ถาดผักก็จะมีผักบุ้ง กะหล่ำปลีซอย วุ้นเส้น หรือ มาม่า
จุดเด่นสำหรับร้านนี้ในความคิดเรา คือ ราคาที่ถูกแต่กินอิ่มสำหรับคนที่ไม่ได้คิดอะไรมากมาเสพบรรยากาศ ของที่ใช้สดดี และสะอาด น้ำจิ้มหมูกระทะจะออกไปทางหวานน้ำเค็มตามมีพริกและกระเทียมให้ใส่เพิ่ม แต่สิ่งที่เราชอบที่สุดคือที่ร้านมีน้ำมันงาให้ด้วยซึ่งทำให้เนื้อหมูต่างๆ เพิ่มความหอมนุ่มนวล กลมกล่อมขึ้นไปอีก
เราต้องขอโทษที่รูปภาพมันอาจจะดูไม่เชิญชวนและน่ากินเนื่องจากพวกเราเสียพลังงานจากการเล่นนั้น พอหมูลงเตาก็กินกันแบบแทบจะไม่มีใครจับมือถืออีกเลย ๕๕๕๕+
เรานั่งกินนั่งคุยกันอยู่ประมาณ ชั่วโมงนิด ๆ ก็คิดว่าจะกลับเลย แต่ว่าพี่ชายบอกว่ามันยังเร็วเกินไปที่เราจะให้วันสงกรานต์มันจบลงแค่เพียงเท่านี้ ก็เลยได้ไปกันต่อโดยการนั่งชิลๆ สบาย ๆ ที่ร้าน หลบมุม
ซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ บรรยากาศดี สลัว ๆ ที่มันจะมาพร้อมกับการเปิดฟุตบอล และมีซาวด์คือเพลงแดนซ์มันๆ กลบจนไม่ได้ยินเสียงอะไร เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพื่ออะไร คงเป็นเอกลักษณ์ของร้าน
ซึ่งอาหารที่เราสั่งก็ไม่ได้เยอะมากเพราะยังอิ่มกับหมูกระทะ ก็มีเพียงแค่เหล้าปั่นกลิ่นบลูฮาวาย และ ต้มจืด คงจะเอ๊ะกันอีกแล้วใช่ไหมคะ ที่เราไปนั่งร้านอาหารเพื่อกินต้มจืด แต่เพราะความเย็นนั้นเองที่อยากจะซดของร้อนๆ เพราะตลอดเส้นทางกว่าจะมาถึงร้านอาหารหลบมุมพวกเราก็โดนสาดน้ำมาตลอดทาง
ก็จบไปสำหรับวันสงกรานต์ ปีใหม่ไทยของเรา ที่ดูไม่มีอะไรมากมายเป็นเพียงกิจกรรมแบบชีวิตประจำวันทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนั่นคือการได้อยู่กับครอบครัวและได้ใช้เวลาร่วมกันได้นั่งคุย ได้เล่าเรื่องนั้นนี้ ปรึกษาปัญหาเล็ก ๆ น้อย