สวัสดีค่ะทุกคน นี่จะเป็นบล็อกที่สองที่ได้เขียนลงในเว็บไซต์ทริปไนซ์เดย์แห่งนี้ ซึ่งจะเขียนแตกต่างออกไป เพราะจะขอเปลี่ยนแนว นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยว ประเพณี วัฒนธรรม ผ่านตัวละคร คงจะมีหลายตอนเป็นนิยายเล่มหนึ่งเลยก็ว่าได้ พร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลยค่ะ
มนุษย์อย่างเรา ว่ากันว่ามีอายุเฉลี่ยอยู่กันที่ ๗๐-๘๐ ปี ใช่! มันควรจะเป็นแบบนั้นใช่ไหมล่ะ แต่ทำไมฉันคนนี้ หนูมาลี สาวน้อยวัยใสเพียง ๒๓ ปี ที่ ไม่ทันจะได้มีงง มีงานทำ ก็กลับพบว่าตัวเองกำลังจะตาย!!
"เสียใจด้วยนะครับ เซลล์มะเร็งได้ลุกลามไปยังอวัยวะต่าง ๆ แล้ว หมอคิดว่าถึงผ่าตัดก็คงไม่ช่วยอะไร"
"หมออย่ามาล้อเล่นได้ไหมคะ หนู ฮึก ฮือ มันไม่ตลกเลยนะคะ ฮือ!~"
"หมอขอโทษจริง ๆ ครับ หมอคิดว่าคงอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน"
ฉันก้าวขาออกมาจากโรงพยาบาลอย่างไร้จุดหมาย คำว่า ไม่เกินสามเดือนยังคงดังก้องในหัวเหมือนคุณหมอเดินตามมาพูดข้างหูตลอดเวลา
น้ำตาที่รินไหลตั้งแต่คุยกับคุณหมอในห้องตรวจไหลยังไง ในตอนนี้ก็ยังคงไหลอยู่อย่างงั้น เหมือนเดิม หรืออาจจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
"ไม่จริง ฮือ ฉันยังสาว ยังสวย ฉันยังไม่อยากตาย!!"
ฉันตะโกนออกไปสุดเสียงด้วยความอัดอั้น โนสนโนแคร์กับสายตาประชาชีที่กำลังมองมาด้วยความตกใจ บ้างก็งุนงง แต่แล้วก็มีสิ่งหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองที่มีเพื่อนคู่ใจคือเซลล์มะเร็ง
เมื่อหันไปประสบพบเจอกับ ศาลพระภูมิ ฉันรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา น้ำมูกออกจากใบหน้า ก้าวขาเข้าไปหยุดนิ่งตรงหน้าศาลใหญ่โตสีขาวสะอาดตา คุกเข่าลง ยกมือขึ้นพนมระหว่างอก
"ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดดลบันดาลให้เกิดปาฏิหาริย์ ให้หนูมาลีคนนี้หายจากอาการเจ็บป่วยด้วยเถิด สาธุ"
กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!
หลังจากที่ฉันเอ่ยคำขอจากก้นบึ้งของหัวใจ สายลมเบา ๆ ก็พัดเข้ามาจนผมยาวประบ่าสีน้ำตาลเข้มของฉันปลิวมาปรกหน้า
จนต้องรีบปัดออกมาทัดหู แต่ก็ไม่น่าสนใจเท่ากับเสียงกระดิ่งที่ไพเราะดัง กรุ๊งกริ๊ง! ขึ้นพร้อมกับแมวดำตัวหนึ่งที่เดินมาหยุดอยู่ข้างกาย
ขนของมันสั้นหนา มีสีดำสนิทดูนุ่มฟูน่าสัมผัส ดวงตากลมโตใส่แจ๋วสีฟ้าน้ำทะเลสวย จับจ้องมาที่ฉันไม่วางตา
"มานี่มา แมวน้อย" ฉันค่อย ๆ ยื่นมือไปหาช้า ๆ เพื่อทำความรู้จัก "เจ้านายแกไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้ออกมาเดินเพ่นพ่านแบบนี้"
"เดี๋ยวนะ นั่นใช่คำที่คนรักแมว เขาพูดกันงั้นเหรอ เหมี๊ยว~ "
"O_o กรี๊ด!! ผี(แมว)หลอก"
ฉันแหกปากส่งเสียงกรี๊ดออกมาดังลั่นอีกครั้ง พร้อมดีดตัวลุกขึ้นยืน ก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ มองแมวสีดำที่สะดุ้งโหยงตกใจตาโตไม่แพ้กัน
"ใครผีไม่ทราบ ข้าคือแมววิเศษที่จะมาทำให้พรของเจ้าเป็นจริงต่างหากล่ะ เหมี๊ยว~ "
"พะ พรของฉัน"
ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง มองแมวสีดำที่พยักหน้าน้อย ๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างนึกเซ็ง
ในขณะที่ฉันได้แต่ยืนเบิกตากว้างอ้าปากพะงาบ ๆ มองศาลพระภูมิข้างตัวสลับกันไปมาอย่างไม่นึกเชื่อ
เพราะมันโคตรจะไม่สมเหตุสมผลเลยนะซิ ถ้าเป็นนางรำหนึ่งใน accessory ของศาลพระภูมิก็ว่าไปอย่าง แต่ใครสนล่ะ ถ้ามันจะทำให้ฉันไม่ตายจะเป็น เสือ ชะนี มด ปลวก ก็ได้หมด
"แต่มันไม่ฟรีนะ เหมี๊ยว~ " แมวดำเริ่มพูดขึ้นก้าวเข้ามาหาช้า ๆ เมื่อเห็นว่าฉันเริ่มตั้งสติได้ ความกลัวลดน้อยลง "ข้าจะมอบลูกอมที่ช่วยให้เจ้าหายจากโรคร้ายเป็นปลิดทิ้ง ถ้าเจ้าสามารถทำภารกิจได้ตรงตามเงื่อนไขอย่างถูกต้องสมบูรณ์"
"ยังไงว่ามา"
ฉันนั่งลงบนพื้นอีกครั้งจ้องมองแมวอ้วนสีดำ ตั้งใจฟังสุดชีวิตยิ่งกว่าป้าข้างบ้านที่พยายามเผือกเรื่องชาวบ้านซะอีก
"เจ้าจะต้องอ่านและตีความบทความของข้าออกมา ว่ามันตรงกับสถานที่ใดในประเทศไทยได้บ้าง และเดินทางไปทำตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ ก็เป็นอันว่าสำเร็จ เหมี๊ยว~"
"แค่นี้อะนะ"
ฉันเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างนึกแปลกใจ ก็แค่แปลบทความ และทำภารกิจแค่นี้ ฉันก็จะหายดีไม่ตายในสามเดือนนี้แล้วงั้นเหรอ
"ใช่แค่นี้ ถ้าคิดว่าง่ายขนาดนั้น งั้นมาลองกันเลยดีไหม เหมี๊ยว~"
กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!
เจ้าแมวดำพูดเองเออเองเสร็จสรรพก็ส่ายตัวไปมา จนกระดิ่งตรงปลอกคอส่งเสียง แล้วตรงหน้าฉันที่ค่อย ๆ มีบทความสีทองปรากฏขึ้น โดยด้านล่างมีเงื่อนไขเล็ก ๆ กำกับอยู่
แรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบย่างเข้ามา ผีเปรตออกล่าร่ายรำตั้งขบวน
ขนมพอง ลา เรียงรายอยู่เต็มสวน หวั่นนึกชวนขนหัวลุกอยู่ร่ำไป
เงื่อนไข : รำ, แย่งชิง, กิน
"เป็นไง อ่านแล้วคิดว่าสถานที่ ที่จะหาสิ่งนี้ได้คือที่ไหน เหมี๊ยว~"
"นรก"
"ไปคนเดียวเลยไป เหมี๊ยว~"
"ฮ่า! ฮ่า! ล้อเล่นน่า"
ฉันหัวเราะออกมาอย่างนึกขำกับท่าทางหัวร้อนของแมวอ้วนตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ปรับอารมณ์ให้สงบลง ย้อนคิดถึงบทความนั้นอีกครั้ง
แรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ ไวเท่าความคิดฉันรีบหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูปฎิทิน ก่อนจะต้องเบิกตากว้าง
"วันนี้ไม่ใช่รึไง"
แล้ววันนี้มันมีอะไรกันนะ อะไรที่มันพอจะเกี่ยวกับผีเปรต อะไร ที่มันมีขนมพอง ขนมลา ใช่แล้วต้องใช่แน่ ๆ
"วันสารทเดือนสิบ บ้าฉิบ!"
ฉันสบถออกมาเมื่อมองดูเวลาตอนนี้ปาเข้าไปจะแปดโมงอยู่รอมร่อ แต่ดีหน่อยที่โรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ได้อยู่ไกลจากวัดซักเท่าไหร่ อาจจะยังไปทันการทำพิธี
ขายาวสวย ๆ รีบก้าวออกเดิน สลับกับวิ่งทันที มาหยุดนิ่งอยู่ริมถนนที่มีผู้คนมากมายรวมตัวก่อเป็นม็อบขึ้น
ซึ่งดูภาพรวมหนุ่มสาวมีเพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับรุ่นแม่ ๆ อายุ ๔๐-๕๐ กันซะส่วนใหญ่ ที่แต่งองค์ทรงเครื่องกันจัดเต็ม ซึ่งจะเป็นเสื้อลูกไม้สีขาว ผ้าถุง ผ้าซิน ที่หลากสีหลากลวดลายกันไป
แต่ที่เด่นสง่าที่สุดคงเป็นหุ่นเชิดเปรต ๔ ตัวที่มีลักษณะสูงใหญ่ ผอมแห้ง เนื้อตัวสีดำ หน้าตาน่าเกลียด ดวงตาที่ตาถลนออกมาจนแทบหลุดออกมาจากเป้า
"นี่เจ้าเหมี๊ยว แกอ่ะชื่ออะไร"
ฉันหันถามแมวอ้วนที่ยืนอยู่ข้างๆ ในขณะที่จ้องพิจารณาเปรต(ปลอม)ไม่วางตา
"ข้าไม่มีชื่อหรอก เหมี๊ยว!"
"ไม่มีชื่อ" ฉันหันกลับไปมองแมวอ้วน กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย "งั้นฉันตั้งชื่อให้ ชื่อว่า ไอ้ดำ แล้วกัน"
"ตั้งชื่อได้สิ้นคิดมาก"
"มาตบกันสักตั้งไหม ไอ้แมวผี"
"เอาล่ะ ใครนำของมาก็เอาไปใส่ไว้ในกระบะรถที่จอดอยู่ให้เรียบร้อย และตั้งขบวน เราจะเริ่มแห่จาดกันแล้วนะครับ"
ก่อนที่ฉันจะได้ลงไปทะเลาะตบตีกับแมวผี ก็มีเสียงของลุงคนหนึ่งตะโกนแทรกขัดจังหวะขึ้นมาก่อน ว่าให้นำสิ่งของที่ติดตัวมา ไปไว้ในรถกระบะที่จอดอยู่ไม่ไกล โดยจากที่มองของที่ว่าก็ล้วนแต่เป็นข้าวสารอาหารแห้งต่าง ๆ และเพียงไม่นาน เสียงกลองและดนตรีจากรถกระบะอีกคันก็เริ่มดังขึ้น
บรรดาผู้คนที่เข้าร่วมในขบวนเริ่มออกลีลา วาดลวดลายยกมือจับจีบขึ้นฟ้อนรำ เดินไปตามท้องถนนที่มีจุดหมายปลายทางคือวัด ที่ห่างออกไปประมาณ ๕๐๐ เมตรเห็นจะได้
"จะเดินทื่อเป็นเสาไฟแบบนี้จนถึงวัดเลยรึไง เหมี๊ยว~"
"ก็รำไม่เป็นนี่"
"งั้นก็จบกันแค่นี้ เลยดีไหม เหมี๊ยว~"
"ไม่นะ!" ฉันตะโกนออกไป "โอเค รำก็รำ"
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ยกมือจับจีบหมุนไปทางซ้ายที ทางขวาทีโดยมีบรรดาแม่ ๆ ป้า ๆ เป็นต้นแบบแห่งการรำ บรรยากาศภายในขบวนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสนุกสนาน เพราะแม้แต่คนที่เชิญหุ่นเปรตก็ยกขึ้นโบกสะบัดโยกไปมาตามเสียงดนตรีเหมือนไม่หนักเลยสักนิด (ทั้งที่เหงื่อท่วมตัวแล้วจ้า)
ขบวนแห่จาดค่อย ๆ เคลื่อนตัวผ่านเข้าประตูวัดวารีวงก์หรือ วัดน้ำพุ ตั้งอยู่ที่ ตำบลน้ำพุ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นวัดเล็ก ๆ ของคนในตำบลน้ำพุที่นิยมมาเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ ในวันสำคัญ
ด้านซ้ายมือจะเป็นต้นโพธิ์ใหญ่ที่ รอบ ๆ โคนต้นมี ศาลพระภูมิที่พุพังวางเต็มไปหมดจนดูขลัง ด้านขวามือคือลานกล้างที่มีต้นไม้ เล็ก ๆ ที่กำลังปลูกสลับกับต้นไม้ใหญ่ และกุฏิของพระสงฆ์ที่อยู่เรียงกันสุดขอบเขตวัด
"นั่นเจ้าจะไปไหนน่ะ เหมี๊ยว~"
"ก็ไปหาอะไรกินไง"
ขาที่กำลังจะก้าวออกจากขบวนแห่จาดชะงักทันทีที่เจ้าดำพูดขึ้น เมื่อฉันกำลังจะมุ่งหน้าไปยังร้านขายของที่อยู่ไม่ไกลเพื่อทำตามเงื่อนไขต่อไปนั่นคือคำว่า กิน
"ยังไปไหนไม่ได้นะ เจ้าจะต้องรำเวียนรอบโบสถ์ให้ครบสามรอบก่อน เหมี๊ยว~"
"อ้าว! เหรอ"
ฉันพยักหน้าเข้าใจ กลืนน้ำลายลงคอพยายามละสายตาจากบรรดาร้านขายของต่าง ๆ ที่วางเรียงรายรอบ ๆ ริมถนนทางเดินภายในวัด ด้วยความยากลำบาก (มันหิว) จนในที่สุดความฝันที่จะทำตามเงื่อนไขต่อไปก็มาถึง แต่ทว่ามันไม่เป็นแบบนั้นเมื่อแมวอ้วนพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
"เลิกน้ำลายไหล แล้วเข้าไปในวัดได้แล้ว เหมี๊ยว~"
"ใครน้ำลายไหลกัน แล้วทำไมเราต้องเข้าไปในวัดด้วย"
"มาวัดไม่เข้าวัดได้ยังไง ยิ่งมีงานใหญ่แบบนี้ก็ควรไปทำอะไรให้มันครบจบพิธีซิ เหมี๊ยว~"
แม้ในใจอยากจะค้านว่าไม่อยากจะไป อยากหาอะไรกินแล้วกลับบ้านนอน เพราะแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนไม่ได้มีความสนใจในการเข้าวัดเข้าวาอยู่แล้ว
แม้ว่างานเดือนสิบจะเป็นวันสำคัญของชาวภาคใต้ที่จัดขึ้นมาเพื่อทําบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องและสัมภเวสีที่ล่วงลับกลายเป็นเปรต
แต่ทำไงได้เมื่อเจ้าดำเดินสายหางดุ๊กดิ๊ก ๆ ตามบรรดาผู้คนที่เริ่มทยอยเข้าไปในอาคารเพื่อเตรียมทำพิธีเรียบร้อยแล้ว
และถ้าไม่ตามไป ก็แปลว่าที่ทำมาทั้งหมดคือศูนย์เปล่าและไม่ได้รับลูกอมเพื่อรักษาโรคร้ายนะซิ แบบนี้ใครจะไปยอม
ฉันเดินตามจนเข้ามาภายในอาคารที่โล่งไม่มีแม้แต่เก้าอี้สักตัว มีเพียงเสื่อที่ถูกปูไว้สำหรับให้ชาวบ้านได้นั่งเท่านั้น
มีการยกสูงของพื้นปูกระเบื้องเป็นลานยาวเล็ก ๆ เพื่อไว้สำหรับพระสงฆ์ได้นั่งสวดทำพิธีกรรม ด้านหน้ามีปิ่นโตมากมายที่บรรดาชาวบ้านนำมาถวาย
"ยืนเหม่ออะไรอยู่ ไปเขียนชื่อญาติพี่น้องของเจ้าสิจะได้ให้พระสวดบังสกุล"
"บังอะไรนะ"
"นี่เจ้าไม่รู้จักเหรอ"
"(-_- ) ( -_-)"
ฉันส่ายหน้าปฎิเสธช้า ๆ แม้มันจะคุ้นหูแต่ก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่ามันคืออะไร และภารกิจครั้งนี้ก็ได้รับมาอย่างกะทันหัน ไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาก่อน มันก็ไม่ผิดใช่ไหมล่ะที่จะไม่รู้หรือไม่มั่นใจ
"การสวดบังสกุล คือการทำบุญถึงญาติสนิทมิตรสหายหรือคนในครอบครัว ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งงานเดือนสิบนี่ก็ถูกจัดขึ้นเพื่อการนั้น สิ่งที่เจ้าต้องทำก็แค่เขียนชื่อญาติ ๆ ที่เสียชีวิตไป แต่ถ้าเจ้าเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ไม่มีญาติพี่น้องก็ไม่ต้องทำ เหมี๊ยว~"
หน็อยไอ้แมวปากเสียนี่ ฉันพยายามควบคุมอารมณ์ มองดูตัวอย่างจากยายที่นั่งอยู่ด้านหน้า
"แต่ฉันไม่มี..."
ปิ๊ง!
ยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยคอยู่ ๆ ในมือฉันก็มีกระดาษและปากกาที่ไม่ได้พกติดตัวมาปรากฏขึ้น
ดวงตายาวรีของฉันหลับตาลงพยายามนึกถึงชื่อญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เท่าที่จะนึกได้ เขียนด้วยลายมือที่คิดว่าสวยที่สุดเพราะหากผู้เฝ้าประตูยมโลกอ่านไม่ออกผลบุญไปไม่ถึงคงแย่
ภายในอาคารแห่งนี้ผ่านไปไม่นานผู้คนก็เริ่มทยอยเข้ามาอัดกันแน่น ตรงมุมหนึ่งของอาคารมีพวกข้าวสารอาหารแห้งจากผู้คนที่ร่วมแห่จาดวางอยู่มากมายเพื่อถวายให้พระสงฆ์
และไม่นานก็พร้อมเริ่มทำพิธีกรรมโดยจะมีการสวดบังสกุลอัฐิ นำกระดาษที่บรรดาญาติโยมเขียนชื่อผู้ล่วงลับจุดไฟเผาและกรวดน้ำก็เป็นอันจบพิธี
"นี่ถามหน่อยซิ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้ภารกิจทำไปได้ถึงไหนแล้วล่ะ"
"เป็นคำถามที่ดี ดูที่นาฬิกาข้อมือซิ เหมี๊ยว~"
ฉันยกมือข้างขวาขึ้นมองนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยมในมือ ก็ได้พบกับความหัศจรรย์อีกครั้งเมื่อหน้าจอแสดงลิสรายการภารกิจขึ้นมา
โดยตอนนี้คำว่า สถานที่ เงื่อนไขคำว่า รำ ได้กลายเป็นตัวอักษรสีเขียว มีเพียงคำว่า แย่งชิง และ กิน ที่ยังคงเป็นสีแดง
"อย่างที่เห็น หากเจ้าเลือกสถานที่ได้ตรงตามที่ได้อ่านในบทความ คำว่า 'สถานที่' ก็จะเป็นสีเขียว ส่วนเงื่อนไข เจ้าได้รำตอนขบวนแห่จาดไปแล้ว ดังนั้นคำว่า 'รำ' เป็นอันว่าสำเร็จเช่นกัน ยังเหลืออีก ๒ คำที่ยังทำไม่สำเร็จ นั้นคือคำว่า 'แย่งชิง และกิน' "
"แล้วเวลาที่นับถอยหลัง ๐๓:๑๙ นี่ละ"
"ก็เหลือเวลาทำภารกิจนี้อีกแค่ ๓ ชั่วโมง กับอีก ๑๙ นาที ไงละ เหมี๊ยว~"
"ว่าไงนะ!" ฉันดีดตัวลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ จนป้าที่นั่งข้างๆ แทบหงายหลังตาม เมื่อรู้ว่าเวลาได้เหลือน้อยลงไปทุกที "ไอแมวบ้าไม่บอกให้ไวกว่านี้ล่ะ"
"ก็เจ้าไม่ได้ถามนี่ เหมี๊ยว~"
เมื่อควบคุมอารมณ์และสติให้เย็นลงได้กับคำตอบที่มันน่าทำผิดศีลข้อ ๑ เป็นที่สุด ก็รีบพุ่งตัวตรงไปยังร้านค้าที่เรียงรายอยู่ริมถนนของวัด
กวาดซื้อของกินทุกอย่างที่วางขาย ทว่าไม่ว่าฉันจะกินเท่าไหร่ คำว่ากินในนาฬิกาข้อมือก็ยังคงเป็นสีแดง
"ทำไมล่ะ ทำไม นี่ก็กินทุกอย่างที่กินได้ที่ร้านเค้าขายจนท้องจะแตกแล้วนะ เหลือแต่ต้องกินธูปเทียนแล้วเนี่ย"
"ใจเย็นก่อน ไปดูตรงนั้นกันเถอะ เหมี๊ยว~"
"ใจเย็นอะไรละ นี่เหลือเวลาไม่ถึง ๒ ชั่วโมงแล้วนะ เฮ้ย! รอก่อนซิ"
เป็นอีกครั้งที่ฉันเหมือนพูดคนเดียวเมื่อไอแมวอ้วนใจร้าย เดินสะบัดก้นไปทางตำแหน่งที่กำลังมีคำมุงกันอยู่
ซึ่งจำนวนคนที่เยอะและหนาแน่น ทำให้ฉันพลัดหลงกันแมวอ้วนไปซะแล้ว จะตะโกนก็กลัวคนรอบๆ จะหาว่าบ้า เพราะคิดว่าคงไม่มีใครมองเห็นแมวผีตัวนี้นอกจากหนูมาลีผู้โชคร้ายคนนี้อีกแล้ว
"ยายจ๊ะ นี่เรากำลังจะทำอะไรเหรอ"
"มาที่ร้านเปรตก็ต้องชิงเปรตสิ"
"ร้านเปรต ชิงเปรต"
ฉันทวนคำพูดของยายผมหยิกสีดอกเลา ร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ออกมา มองดูตรงหน้าที่มีร้านขนาดใหญ่เตี้ย ๆ (บางพื้นที่ก็เป็นทรงสูง) ที่ถูกทำด้วยไม้วางอยู่ ด้านบนมีขนมพอง ขนมลา ขนมสะบ้า วัตถุดิบเครื่องครัว อย่าง ข้าวสาร กะปิ พริก กระเทียม ไม้ขีดไฟ ผักผลไม้อยู่แน่นเต็มร้าน โดยมีพล็อตด้านหลังคือหุ่นเชิดผีเปรตที่อยู่ในขบวน
"น่ากลัวออก แล้วเราจะชิงของเปรตไปทำไมกัน"
"อีหนูนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสินะเอ็ง การที่เรามาชิงของเปรตและนำไปกินถือว่าจะทำให้ญาติพี่น้องเราที่ลวงลับกลายเป็นเปรตได้บุญไปด้วย"
"แล้วเราหยิบได้เลยเหรอจ๊ะ ทั้งที่ไม่ใช่ของเรา"
"เออซิ รีบชิงไปซิเดี๋ยวก็อดหรอก"
"จ๊ะ ๆ"
ฉันรีบหยิบชะลอมไม้ไผ่ที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด โดยด้านในบรรจุขนมอยู่มาโอบกอดราวพบของรักของหวง
เมื่อตอนนี้เริ่มมีมือน้อยมือใหญ่ มือเด็กเล็ก มือผู้ใหญ่ แทรกตัวเข้ามาแย่งหยิบของบนร้านกันอย่างชุลมุน จนองุ่นพวงสวย ๆ ที่อยู่ตรงหน้าฉัน กระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทาง (น่ากลัว)
"ทำได้ดีนี่ เหมี๊ยว~"
"เจ้าดำแกหายไปไหนมา" ฉันร้องถามแมวอ้วนที่ลอยอยู่ข้างศีรษะ พยายามเอาตัวเองออกมาจากร้านเปรตด้วยความทุลักทุเล "ทำไงดีฉันจะทำภารกิจไม่ทัน...หือ? "
ยังไม่ทันจะพูดจบก็ต้องร้องออกมาด้วยความแปลกใจและดีใจเมื่อตอนนี้เงื่อนไขคำว่า 'แย่งชิง' ขึ้นเป็นสีเขียวแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็เหลือเพียงเงื่อนไขเดียวที่ยังคงเป็นสีแดงคือ คำว่า 'กิน' และเมื่อมองดูเวลาที่นับถอยหลังฉันก็แทบจะทรุดตัวไปนั่งร้องไห้
"๑๕ นาที ทำไงดี เจ้าดำ ฉันจะทำไงดี"
"..."
ฉันหันไปถามแมวอ้วนน้ำตาคลอเป้า เมื่อเวลาทำภารกิจตอนนี้เหมือนระเบิดเวลาเข้าไปทุกที ๆ แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากสิ่งมีชีวิต (รึเปล่า) ที่คุณเรียก เพราะเจ้าแมวอ้วนทำเพียงมองชะลอมที่ฉันกอดแนบอกไม่กะพริบตา
หรือว่า ฉันรีบแกะชะลอมออก แล้วหยิบขนมลา สีทองสวยขึ้นมายัดใส่ปากพร้อมเคี้ยวหยาบแล้วกลืนลงคอ มองนาฬิกาข้อมือจ้องคำว่ากินสีแดงเขม็งอย่างมีความหวัง ทว่ามันก็ยังคงเป็นสีแดง
น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาเริ่มรินไหล เมื่อหยิบขนมพอง ขนมสะบ้า ขนมดีซำ (หรือจะเรียกว่าขนมเจาะรู) เข้าปากคำแล้วคำเล่า คำว่า กิน ก็ยังคงเป็นสีแดงเหมือนเดิม
"ไม่จริงน่า สุดท้ายแล้วก็ไม่สำเร็จซินะ"
ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตา หยิบขนมไข่ปลาที่เป็นขนมชนิดสุดท้ายที่ยังไม่ได้กิน เข้าปาก แล้วก็แทบอยากจะกรี๊ดให้ดังลั่นกลางลานวัด เมื่อในที่สุดเงื่อนไขสุดท้ายก็สำเร็จ ทุกหัวข้อในหน้าจอนาฬิกา กลายเป็นสีเขียว และเวลาก็หยุดลงที่ ๐๙:๐๓
"นะ..นี่ฉันทำสำเร็จแล้วใช่ไหม"
"ถูกต้องแล้ว ถึงจะเกือบไม่ทันก็ตาม เหมี๊ยว~"
"ไม่ทันที่ไหน เหลือเวลาตั้ง ๙ นาทีเลยนะ"
"แค่ ๙ นาทีต่างหากล่ะ ถ้าไม่ได้ข้าช่วยบอกใบ้ ก็คงไม่รอดได้นั่งร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าอยู่ในวัดให้คนแตกตื่นแน่ๆ เหมี๊ยว~"
"เชอะ!"
ฉันสะบัดบ๊อบใส่ เดินไปนั่งตรงม้านั่งหินอ่อนที่อยู่ใต้ต้นไม้ มองดูผู้คนที่มีของจากร้านเปรตติดไม้ติดมือด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนจะโดนกระชากหัวหลุดตอนชิงเปรตแต่ก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจลึก ๆ เมื่อฉันเองก็หวังว่าบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วจะได้ผลบุญผลกุศลจากการทำบุญของหนูมาลีในวันนี้
"ว่าแต่ขนมพวกนี้มีความหมายอะไรแฝงอยู่ไหม"
"แน่นอนว่าก็ต้องมีอยู่แล้ว อย่างขนมพองใช้แทนเรือสำหรับข้ามห้วงมหรรณพ เหมี๊ยว~"
"ห้วงมหรรณพ คืออะไร"
"ก็ แม่น้ำ ลำธาร อะไรแบบนี้ไง"
"ก็ทำไมไม่พูดว่าแม่น้ำ ลำธารจะพูดให้เข้าใจยากทำไม"
"หาเรื่องกันเหรอ เหมี๊ยว~"
"อ่า ไม่ขัดแล้ว ขอโทษจ้า"
ฉันยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ หยิบขนมลาที่ยังเหลืออยู่ในชะลอมขึ้นมากิน มองเจ้าดำที่กระโดดขึ้นมายืนบนโต๊ะแล้วเริ่มอธิบายต่อ
"อย่างขนมลาที่เจ้ากำลังกินก็แทนเครื่องนุ่งห่ม แต่บางก็มีพูดกันว่าขนมลาเส้นมันเล็กเปรตสามารถกินได้ ขนมสะบ้า ใช้แทนลูกสะบ้าในการละเล่นของคนสมัยโบราณ ขนมดีซ่ำใช้แทนเงินหรือเบี้ย ขนมไข่ปลาแทนเครื่องประดับ และในเมื่อเจ้าทำสำเร็จข้าก็จะทำตามสัญญา แบมือออกมาซิ"
ฉันฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริ แบมือไปตรงหน้าของแมวอ้วนที่เริ่มสะบัดตัวไปมาเหมือนสุนัขกำลังสะบัดขนที่เปียกฝน จนเสียงกระดิ่งที่ปลอกคอดัง กรุ๊งกริ๊ง~
ไม่นานก็มีลูกอมเม็ดเล็กๆ สีเหลืองใส ๆ ด้านในเหมือนมีน้ำอะไรอยู่สักอย่างก็มาอยู่บนมือของฉัน
"ลูกอมที่ว่าคือน้ำมันปลาเองเหรอ"
"เจ้านี่มันปากเสียได้เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ นะ เหมี๊ยว~"
"ขอบใจที่ชมจ้า"
ฉันยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ส่งลูกอมเม็ดเล็ก ๆ เข้าปาก แทบไม่ทันได้กลืนลงคอ เพราะทันทีที่ลูกอมน้ำสัมผัสกับปลายลิ้น ก็ละลายราวกับขนมสายไหม แต่แตกต่างตรงที่ไม่มีรสชาติอะไรเลย เว้นเพียงรู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้นอย่างถนัดตา
"นี่ฉันหายแล้วใช่ไหม ฉันจะไม่ตายแล้วใช่ไหม"
"ก็ใช่ ถ้าเจ้ากินจนครบ ๗๗ เม็ดน่ะ เหมี๊ยว~"
"ว่าไงนะ!!! ๗๗ เม็ด ที่มันเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคชัด ๆ"
"ข้าไปหลอกเจ้าตอนไหนมิทราบ ข้าไม่ได้บอกเลยสักคำว่ากินเม็ดเดียวจะหาย"
ฉันอยากจะชักดิ้นชักงอตรงนี้ให้ตายไปสักข้าง แต่กลับทำไม่ได้เมื่อมันก็จริงอย่างที่แมวดำเจ้าเล่ห์บอก ไม่ได้มีประโยคไหนที่บอกว่ากินแค่เม็ดเดียวแล้วก็จะหาย มันเป็นเพียงความคิดของฉันเองล้วน ๆ ไม่มีหมูหมามาผสม
"กว่าจะกินครบฉันไม่ตายก่อนรึไง"
"งั้นข้าแนะนำว่าเรามาเริ่มทำภารกิจที่ ๒ กันเลยดีกว่า เหมี๊ยว~"
ตัดจบแบบละครไทย ภารกิจที่ ๒ จะเป็นที่ไหน มีเงื่อนไขอะไรให้หนูมาลีทำกันนะ ไว้มาเจอกันใหม่นะคะ
ปล. ในเนื้อเรื่องที่ได้อ่านเป็นประเพณีงานสาทรเดือนสิบที่อ้างอิงการจัดขึ้นของวัดวารีวงก์ (วัดน้ำพุ) เท่านั้น ซึ่งแต่ละพื้นที่อาจจะแตกต่างกันออกไปนะคะ