หลังเหนื่อยล้าจากการทำงานมานาน เราเลยขอพักผ่อนชาร์จแบตให้ตัวเองที่ต่างจังหวัดสัก 2-3 วันที่เมืองจันท์ หาร้านอร่อย ที่เที่ยววิวดี ๆ และที่พักสวย ๆ แถมนอนสบายไว้เยียวยาหัวใจสักที่
หลังจากแวะเที่ยวตามทางประปราย เราก็มุ่งสู่ถนนเส้นท่าแฉลบที่เรียงรายด้วยตึกแถวและตัวอาคารขนาดกะทัดรัด ซึ่งนำพาเรามาสู่ที่พักสายอีโค่ The Motifs Eco Hotel ก่อนเลี้ยวเข้าไปภายในลานจอดรถที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงามจนต้องเริ่มถ่ายรูปกันตั้งแต่ในลานจอดรถเลยทีเดียว
The Motifs Eco Hotel เรียกว่าสวยสะดุดตามากจากการออกแบบที่ผสมผสานทั้งความโมเดิร์น ทั้งอัตลักษณ์ของชุมชนพื้นถิ่น รวมทั้งการตกแต่งแบบโมเดิร์นคราฟต์ด้านในที่สวยมีเสน่ห์อย่างลงตัวมาก ๆ
ตัวอาคารมีสีขาวตัดกับสีน้ำตาลอ่อนของไม้ สอดแทรกด้วยต้นไม้สีเขียวดูสบายตา ลวดลายฉลุตามผนังและกระจกบานกว้างปล่อยให้แสงจากธรรมชาติส่องลอดเข้ามากระทบพื้นไม้ด้านในจนเกิดลวดลายที่สวยงาม บรรยากาศโดยรอบดูอบอุ่นเป็นกันเอง
พนักงานต้อนรับเราอย่างเป็นมิตรมาก ก่อนนำทางเราขึ้นห้องพักพร้อมเสิร์ฟชุดอาหารว่าง-เครื่องดื่มต้อนรับสำหรับ 2 ท่าน
เรามากัน 2 คน เลยเลือกเป็นแพ็กเกจ Eco-Romanticได้ห้องพัก Green Corner 3 วัน 2 คืน อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน แถมในห้องยังมี Bathtub ด้วย ถือว่าดีเลยล่ะ ได้แช่น้ำอุ่น ๆ ตีฟองนุ่ม ๆ คงจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงานได้สบาย (ที่จริงแพ็กเกจนี้มีบริการ Honeymoon set up ให้ฟรีด้วยนะ แต่เราแค่มาพักผ่อนกันชิล ๆ เลยไม่ได้แจ้งไว้ ใครอยากได้บรรยากาศโรแมนติก ๆ ก็สามารถแจ้งกับทางโรงแรมไว้ก่อนได้เลย)
ภายในห้องพักดูโปร่งโล่งสบาย แสงจากภายนอกส่องเข้ามาได้ทั่วถึงทั้งห้องเลย ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ที่นอนและโซฟาดูเรียบ ๆ กับวัสดุตกแต่งและเครื่องใช้อื่น ๆ อย่างโต๊ะหน้าโซฟา โคมไฟ กล่องใส่ทิชชู่ และรองเท้าสลิปเปอร์จะเป็นงานเครื่องสานเพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์พื้นถิ่น แล้วทุกอย่างดูเข้ากันลงตัวมาก ทั้งสวย ทั้งน่านอน
มาถึงวันแรกเราก็ประเดิม Bathtub ที่ตั้งอยู่บริเวณระเบียงห้อง จัดการโปรยผงสปากับ Bath Bomb ที่ทางโรงแรมเตรียมเอาไว้ให้ลงน้ำโดยทันที ก่อนลงไปแช่ตัวในอ่างอยู่เป็นชั่วโมง ผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าได้ดีมาก สบายตัวสบายใจสุด ๆ
ส่วนภายในห้องน้ำเป็นฝักบัว น้ำแรงสะใจ สบู่กับแชมพูก็หอมกลิ่นสมุนไพร และไฟก็สว่างดี ถือว่าเหมาะกับสาว ๆ ที่ชอบแต่งหน้าเป็นที่สุด ในตัวห้องพักไฟก็สว่างเช่นกัน นั่งอ่านหนังสือได้ไม่ปวดตา แต่ถ้าใครอยากนั่งพักผ่อนดูทีวีสบาย ๆ ก็สามารถเลือกเปิดไฟเป็นบางดวงได้ และที่อยากนำเสนอคือความนุ่มของเตียงที่เหมือนจะดูดวิญญาณเราไปเลย อิอิ
ตอนเช้าก็ลงมาทานอาหารกันที่ห้องอาหารด้านล่าง มุมนี้ก็สวยสะดุดตา ถ่ายรูปเล่นมีคอนเทนต์ลงโซเชียลได้เพียบ ส่วนอาหารจะเป็นอาหารจากในชุมชน อย่างข้าวต้มจันทบูร หรือจะสั่งเป็นพวกออมเล็ตกับทางครัวของโรงแรมก็ได้ แถมที่นี่ยังมี Slow Bar ชงกันหอม ๆ กลิ่นเย้ายวนทั้งห้องอาหารเลยล่ะ
ในแพ็กเกจที่เราจองจะสามารถซื้ออาหารและเครื่องดื่มได้ 500 บาทตลอดการเข้าพัก ก็สั่งกาแฟกับไอศกรีมทานได้
ทานมื้อเช้าจนอิ่มก็เดินถ่ายรูปเล่นในโรงแรม ที่นี่มุมถ่ายรูปเยอะ ตรงล็อบบี้ สวนข้างล็อบบี้ มุมอ่านหนังสือข้างบันได ห้องอาหาร สวนข้างห้องอาหาร และอีกหลาย ๆ จุดเลย เรียกว่านั่งตรงไหนก็ถ่ายรูปได้
บริเวณชั้น 2 มี Co-working Space ด้วย ใครที่ยังต้องหอบงานมาทำก็สามารถมานั่งทำตรงนี้ได้ สะดวกดี
ไม่ไกลที่พักก็มีที่เที่ยวน่าไปอย่างโบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล กับชุมชนริมน้ำจันทบูร ช่วงเที่ยง ๆ บ่าย ๆ เราก็ออกไปเก็บที่เที่ยวแถวนั้นกัน เข้าร้านอาหารกับคาเฟ่อีกร้านสองร้านแล้วก็กลับเข้าที่พัก พอเข้าวันสุดท้ายก็ขอแช่น้ำอุ่นอีกสักรอบก่อนกลับ กับนอนเล่นนั่งชิลกันอยู่ในโรงแรมก่อนเช็กเอาต์
โดยรวมเป็นการพักผ่อน 3 วัน 2 คืนที่ช่วยขจัดความตึงเครียดจากงานได้มากเลย ได้ไปเที่ยวแบบชิล ๆ กินของอร่อย ๆ นอนโรงแรมดี ๆ แถมถ่ายรูปเล่นในโรงแรมได้ด้วย ได้ทั้งรูป ได้ทั้งพักผ่อน เรียกว่าชาร์จแบตจนเต็มเตรียมกลับไปลุยงานต่อแล้ว!